'รถไฟฟ้า 20 บาท' ไปไม่ถึงฝัน 'สิริพงศ์' แนะใช้ 'ตั๋วร่วม' ลดราคาได้

11 ก.ย. 2568 | 07:56 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.ย. 2568 | 08:22 น.

'รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย' ไปไม่ถึงฝันตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทย เหตุเป็นนโยบายกึ่งการคลัง 'ไม่ยั่งยืน; เสนอใช้ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ลดค่าโดยสาร 35–40 บาท

ประเด็นเรื่องการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อร้อนที่ประชาชนจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบาย “20 บาทตลอดสาย” ที่ถูกหยิบมาเป็นสัญญาลักษณ์ของการแก้ปัญหาค่าครองชีพด้านการเดินทางในเมืองใหญ่ ทว่าล่าสุด นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาเปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า แท้จริงแล้วนโยบายนี้ “ไม่สามารถดำเนินการได้ตั้งแต่รัฐบาลก่อน”

เขาอธิบายว่า ในสมัยรัฐบาลชุดก่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมก็ประกาศแล้วว่า ไม่สามารถทำได้ทันกำหนด 1 ตุลาคม 2568 เนื่องจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้างทางการเงิน การผลักดันโครงการดังกล่าวจำเป็นต้องใช้งบประมาณอุดหนุนจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งจัดเป็น “นโยบายกึ่งการคลัง” ที่รัฐต้องนำเงินไปอุดหนุนรายได้ของเอกชนอย่างเต็มจำนวน ทำให้ไม่ยั่งยืนในระยะยาว

สิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

สิ่งที่รัฐบาลใหม่มองว่าเป็น “ทางออกจริง” คือการใช้กลไกตาม พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ที่ผ่านสภาแล้ว เพื่อเปิดทางให้ผู้ประกอบการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ สามารถเจรจาแบ่งรายได้ระหว่างกัน ลดปัญหาการเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนในการเปลี่ยนสาย ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าโดยสารสูงเกินจำเป็น

นายสิริพงศ์กล่าวว่า ภายในระยะเวลา 4 เดือนที่รัฐบาลชุดนี้ยังมีอยู่ จะต้องเร่งเจรจากับผู้ประกอบการทุกสาย เพื่อให้สามารถลดค่าโดยสารอย่างยั่งยืน โดยการแก้ที่โครงสร้างรายได้ ไม่ใช่การทุ่มเงินอุดหนุนเพียงอย่างเดียว

“สิ่งที่เรามองคือ ประชาชนต้องไม่เสียค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน และค่าโดยสารรวมต่อการเดินทางหนึ่งเที่ยวควรลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งการประเมินเบื้องต้นพบว่าอาจลดลงมาได้ที่ 35–40 บาทตลอดสาย มากกว่าจะเหลือเพียง 20 บาทตามที่เคยประกาศไว้”

ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวยังสอดคล้องกับเสียงสะท้อนจากหลายฝ่ายที่มองว่า นโยบาย 20 บาทตลอดสาย แม้จะเป็นที่นิยม แต่ไม่สามารถทำได้จริงในเชิงงบประมาณและการจัดการสัมปทาน แต่การใช้ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ค่าโดยสารถูกลงอย่างยั่งยืน และช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนได้จริง

ประเด็นรถไฟฟ้านี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้พรรคภูมิใจไทย กำลังพยายามสร้างสมดุลระหว่าง “ความคาดหวัง” ของประชาชน กับ “ข้อเท็จจริง” ทางการคลัง โดยเลือกเดินหน้าในสิ่งที่เป็นไปได้และมีผลถาวร มากกว่าการใช้มาตรการเฉพาะหน้าที่ไม่ยั่งยืน