KEY
POINTS
รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง ปัญหาค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นในภาคประชาชน และการส่งออกที่มีแนวโน้มลดลง ตลอดจนแรงบีบจากสงครามการค้าโลกและภาษีทรัมป์ ทั้งนี้ภาคเอกชน ได้สะท้อนมุมมองและข้อเสนอแนะรัฐบาล ในการดำเนินการนโยบายเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และเชื่อว่าโครงการคนละครึ่ง จะเป็นกุญแจสำคัญกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นที่รวดเร็วสุด
หนุนรัฐบาลดึงมืออาชีพกู้เศรษฐกิจ
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่ามาตรการเร่งด่วนกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับโครงการคนละครึ่ง มาถูกทางและเป็นนโยบายที่เห็นผลเร็วที่สุดนโยบายหนึ่ง เคยพิสูจน์แล้วว่า ช่วยได้จริงในระยะสั้น เงินเข้าถึงประชาชน โดยตรง ทำให้มีเงินใช้จ่ายทันทีเกิดการหมุนเวียนเงิน เมื่อประชาชนใช้เงิน ร้านค้ามีรายได้ ก็จ่ายค่าเช่า ค่าจ้าง พนักงาน มีเงินซื้อของต่อ ช่วยร้านเล็กและชุมชน ร้านค้าเล็กๆ ร้านอาหารในท้องถิ่นมีลูกค้าเพิ่มขึ้น ช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้อยู่รอดได้ อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวเป็นแค่การแก้ปัญหาเบื้องต้น ไม่ได้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจใหญ่ๆ แบบยั่งยืน เช่น ความเหลื่อมล้ำ หรือการแข่งขันของประเทศ จึงควรทำควบคู่กับนโยบายอื่นๆ ที่ส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาทักษะแรงงานในระยะยาว
สอดคล้องกับ นายวรัทภพ แพทยานันท์ เลขาธิการสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่าสมาคมฯ ต้องการให้รัฐบาลใหม่สนับสนุนมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่อง โดยหากรัฐบาลอนุทิน เข้าบริหารประเทศแล้ว สมาคมฯเตรียมเข้าพบต่อไปโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อเสนอให้สนับสนุนมาตรการต่อเนื่องต่อไปเนื่องจากอสังหาริมทรัพย์สร้างห่วงโซ่อุปทานให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้มากถึง 6 เท่า
ท่องเที่ยว แนะเรียกความเชื่อมั่น
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนที่ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขในระยะสั้น ผมมองว่าเศรษฐกิจที่ต้องใช้มาตรการกระตุ้นระยะสั้นตามกระแส “คนละครึ่ง” ถือว่าช่วยประชาชนในตรงจุด ส่วนการต่างประเทศ ควรเร่งฟื้นฟูภาพลักษณ์บนเวทีต่างประเทศในการเรียกความเชื่อมั่นด้านการค้า การลงทุน และ การท่องเที่ยว การยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในการปราบปรามกวาดล้างอาชญากรรม ยาเสพติด และ Call center รวมถึง รถสาธารณะที่มีปัญหาด้านการฉ้อโกงนักท่องเที่ยว
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะเป็นโอกาสในการเจรจาแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาได้สำเร็จ หลังจากที่รัฐบาลชุดก่อนยังไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านที่รัฐบาลอาจมีเวลาทำงานเพียง 4 เดือน ก็ยังสามารถเดินหน้าสร้างภาพลักษณ์ความปลอดภัยให้ประเทศได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมากมาย
สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ คือ การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย หากสามารถทำให้เห็นได้ชัดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทยได้อย่างปลอดภัย โอกาสในการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะเกิดขึ้นทันที เพราะพื้นฐานของการท่องเที่ยวไทยยังแข็งแกร่งและพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเสนอให้รัฐบาลตั้งทีมโฆษกเฉพาะกิจด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยว ทำหน้าที่สื่อสารความคืบหน้าการจับกุมผู้กระทำผิด การปราบปรามขบวนการเอาเปรียบนักท่องเที่ยว
ด้านนายกิตติ พรศิวะกิจ นายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย กล่าวว่า ข้อเสนอเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจแบบ Quick Win 1. อิ่มคนละครึ่ง งบประมาณ 60,000 ล้านบาท สำหรับประชาชน 30 ล้านคน x 2,000 บาทต่อคน 2. เที่ยวไทยคนละครึ่งเฟส 2 งบประมาณ 3,000 ล้านบาท สิทธิละ 1,500 บาท x 2 ล้านสิทธิ เพื่อกระจายรายได้สู่เมืองรองและโรงแรมขนาดเล็ก 3. SME คนละครึ่ง 20,000 ล้านบาท สนับสนุน ผู้ประกอบการ SME ในการยกระดับมาตรฐาน พัฒนาสินค้า เทคโนโลยี องค์ความรู้ และความยั่งยืน 4. เรียนดีคนละครึ่ง งบประมาณ 5,000 ล้านบาท ส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะแห่งอนาคต เช่น AI / Digital Marketing /Green Innovation / อาหารไทย / ภาษาต่างประเทศ ฯลฯ 5. ส่งเสริมคนไทยและต่างชาติเที่ยวไทยสู่เมืองรอง 2,000 ล้านบาท Joint Promotion ตั๋วเครื่องบิน รถเช่า รถตู้ รถบัส สู่เมืองรอง
จี้คุมสินค้าลักลอบทะลัก
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอกลุ่มบริษัท EfraStructure ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และ นักลงทุนสตาร์ทอัพ กล่าวว่า ข้อเสนอแนะรัฐบาลใหม่นั้นมองว่าควรเร่งบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันการลักลอบนำสินค้าเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะกรมศุลกากร ที่เป็นด่านแรกของการนำเข้า ส่วนนโยบายคนละครึ่งนั้นเชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และเห็นผลทันที โดยที่รัฐบาลไม่ต้องลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ร้านค้า และประชาชนมีความคุ้นเคยการใช้งาน ไม่ต้องลงแอป หรือ ตรวจสอบตัวตนใหม่
ค้าปลีก ชง 3 มาตรการกระตุ้นศก.
ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ เลขาธิการสมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งเอเชียแปซิฟิก (FARPA) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า มาตรการ “คนละครึ่ง” เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจากฐานราก กระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มที่มีกำลังซื้อระดับกลาง-ล่าง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30-35 ล้านคน การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังซื้อของฐานรากยังคงอ่อนแอ
นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนร้านค้าย่อย ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนไปสู่ร้านค้าขนาดเล็กโดยตรง ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และสามารถประคองธุรกิจต่อไปได้ อย่างไรก็ดีสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังต้องการแรงกระตุ้นต่อเนื่อง ดังนั้นจึงควรเพิ่มวงเงินสนับสนุนในการใช้จ่ายเป็น 3,000 บาทต่อคนเพื่อใช้จ่ายตลอดระยะเวลา 3 เดือน (ต.ค.-ธ.ค. 68) ซึ่งเมื่อรวมกับเม็ดเงินจากงบประมาณที่รัฐจะต้องร่วมจ่ายอีก 3,000 บาทต่อคน ประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจจากการจับจ่ายใช้สอยไม่ต่ำกว่า 1.8 แสนล้านบาทเลยทีเดียว
นอกจากนี้รัฐบาลควรนำมาตรการ “Easy E-receipt” (ช้อปลดหย่อนภาษี) กลับมาใช้เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มผู้มีกำลังซื้อที่สูง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5-8 ล้านคนควบคู่กันไป รวมทั้งมาตรการกระตุ้นการจ้างงานแบบคนละครึ่ง โดยรัฐร่วมจ่าย 50% และเอกชนเจ้าของกิจการร่วมจ่าย 50% ในการจ้างงานเด็กจบใหม่หรือผู้ที่ต้องการมีงานทำ
SME แนะปฏิรูปคนละครึ่ง
ด้านนายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า มาตรการเร่งด่วนที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องดำเนินการคือการยกระดับเครื่องยนต์ขับเคลื่อนประเทศทั้งระบบ โดยด้านเศรษฐกิจจำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้เสีย และหนี้นอกระบบ รวมถึงหนี้กองทุนกยศ. ผ่านกลไกที่มียุทธศาสตร์ชัดเจน ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างเจาะจง พร้อมยกระดับศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี AI และการสร้างแบรนด์สินค้าและบริการของไทยให้มีมาตรฐานและแตกต่าง จนสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
“มาตรการ “คนละครึ่ง” ต้องไม่เดินซ้ำรอยเดิม “ต้องไม่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ” แต่ต้องถอดบทเรียนและปรับปรุงให้ครอบคลุมฐานรากอย่างแท้จริง เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ เพิ่มกำลังซื้อ และสร้างรายได้ให้กับร้านค้า ร้านอาหาร ตลาดสด โรงแรม และธุรกิจท่องเที่ยวในท้องถิ่นทั่วประเทศ พร้อมดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบอย่างเป็นรูปธรรม มาตรการใหม่นี้ต้องต่อยอดและแตกต่างจากเดิม เพื่อให้การกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นเกิดขึ้นจริง”
ครม.ใหม่ต้องแก้ปัญหาศก. ได้จริง
ขณะที่นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยกว่า 7 แสนรายเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาอย่างหนัก โดยเฉพาะยอดขายที่ลดลงเฉลี่ย 25-50% ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหญ่ และยังส่งผลให้ร้านอาหารหลายแห่งต้องปิดตัวลง ลดจำนวนพนักงาน และลดชั่วโมงการทำงาน
จากการสำรวจความคิดเห็นจากทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคพบว่า โครงการคนละครึ่งเป็นมาตรการที่เหมาะสมที่สุด เพราะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนโดยตรง ลดภาระค่าครองชีพ และยังช่วยสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับร้านอาหารขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลางได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจในภาพรวมและห่วงโซ่อุตสาหกรรม ตั้งแต่ เกษตรกร ผู้ผลิตวัตถุดิบ, ผู้ค้าส่ง และ ผู้ค้าปลีก ในตลาดสด, ผู้ประกอบการขนส่ง, ไปจนถึง แรงงาน ในภาคบริการและการผลิต
หนุนคนละครึ่ง-ช้อปดีมีคืน
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวว่า จากที่มีกระแสข่าวรัฐบาลชุดใหม่จะนำโครงการ “คนละครึ่ง” มาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เรื่องนี้มองว่าเป็นมาตรการระยะสั้นที่เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วที่สุด เพราะจะช่วยกระตุ้นการบริโภค และการจับจ่ายของประชาชน ขณะที่พ่อค้าแม่ค้า และผู้ประกอบการค้าก็จะขายสินค้าได้ง่ายขึ้น เพราะเปรียบเสมือนการลดราคาสินค้า 50% โดยมีภาครัฐช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง
ส่วนมาตรการ/ โครงการอื่นที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็ว เช่น ช้อปดีมีคืน เที่ยวคนละครึ่ง หากนำมาใช้ได้ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินหรืองบประมาณของรัฐบาลว่าจะมีหมุนเวียนสู่ระบบได้เพียงพอหรือไม่ ซึ่งต้องไปพิจารณาต่อไป
อย่างไรก็ดีสิ่งที่อยากฝากรัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ไขปัญหาในเวลานี้คือ เงินบาทที่แข็งค่ามากในรอบ 4 ปี ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยว การแก้ไขปัญหาปากท้อง และเรื่องหนี้สินของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินครัวเรือน หรือหนี้สินของผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อย โดยดูแลให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อช่วยประคับประคองให้ผ่านวิกฤติช่วงนี้ไปได้ นอกจากนี้ขอให้กำกับดูแลในการลดดอกเบี้ยนโยบายและดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ลงอีก เพื่อให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง และมีสภาพคล่องมากขึ้น