ย้อนรอย“คนละครึ่ง” เครื่องมือกระตุ้น ศก. จาก "ประยุทธ์" ถึง อนุทิน

06 ก.ย. 2568 | 08:35 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.ย. 2568 | 08:53 น.

“รัฐบาลอนุทิน”คิดปัดฝุ่นโครงการ “คนละครึ่ง” ที่มีกำเนิดในยุค “รัฐบาลประยุทธ์” ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วนอีกครั้ง ...ย้อนกลับไปดูความเป็นมาของโครงการกัน

KEY

POINTS

  • พรรคภูมิใจไทยยืนยันเตรียมนำโครงการ “คนละครึ่ง” ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ กลับมาใช้อีกครั้งในยุครัฐบาลอนุทิน
  • โครงการนี้ถูกมองว่า มีประสิทธิภาพและได้รับการตอบรับที่ดีกว่าโครงการแจกเงินดิจิทัล โดยสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายในร้านค้ารายย่อยได้จริง และใช้งบประมาณน้อยกว่า
  • รัฐบาลตั้งเป้าจะเริ่มโครงการอย่างรวดเร็วภายใน 1 เดือนแรก โดยจะต่อยอดจากระบบเดิมคือ แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อลดขั้นตอนและให้ทันใช้งานในรัฐบาลเฉพาะกิจ
  • โครงการ “คนละครึ่ง” เคยดำเนินการมาแล้ว 5 เฟส ในช่วงปี 2563-2565 เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในช่วงวิกฤตโควิด-19

วันที่ 6 กันยายน 2568 ศิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันกระแสข่าวการฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” ว่าเป็นความจริง โดยระบุว่า พรรคได้มีการหารือกันภายในคณะกรรมการบริหารพรรค และทีมงานนโยบาย เพื่อเดินหน้าต่อยอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเชื่อว่าโครงการนี้สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ดีกว่าโครงการเงินดิจิทัล และได้รับการตอบรับเชิงบวกจากสังคมมากกว่า

นายศิริพงษ์ เน้นว่า หัวใจสำคัญของโครงการคือ ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพื่อหาเสียง และพรรคเชื่อว่า “คนละครึ่ง” สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้จริง โดยรูปแบบใหม่จะไม่เน้นการสร้างแอปพลิเคชันใหม่ แต่จะใช้ระบบที่มีอยู่แล้ว เช่น “เป๋าตัง” ซึ่งผ่านการใช้งานมาแล้วหลายโครงการ เพื่อลดเวลาในการดำเนินการ และทำให้ทันใช้งานในช่วงเวลาที่ “รัฐบาลอนุทิน” มีอายุเพียง 4 เดือน

อย่างไรก็ดี รายละเอียดด้านงบประมาณยังไม่ได้ข้อสรุป ต้องรอท่าทีจากนายกรัฐมนตรี และ นโยบายหลักของ “รัฐบาลอนุทิน 1” ว่าจะจัดสรรวงเงินอย่างไร

เทียบ“คนละครึ่ง-แจกเงินดิจิทัล”

นายศิริพงษ์ มองว่า “คนละครึ่ง” น่าจะเป็นมาตรการที่มีความคุ้มค่ามากกว่าโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ผลักดัน แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องงบประมาณมหาศาล โดย “คนละครึ่ง” ใช้งบประมาณน้อยกว่า แต่สามารถกระจายการใช้จ่ายในร้านค้ารายย่อยได้จริง

รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า หาก “รัฐบาลอนุทิน 1” นำนโยบายนี้กลับมาใช้จริง คาดว่าจะเริ่มโครงการได้ ภายใน 1 เดือนแรกหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยนายกรัฐมนตรีจะสั่งการทันที เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้ทันในช่วงเวลาจำกัดของรัฐบาลเฉพาะกิจ

“คนละครึ่ง”จาก“ประยุทธ์”ถึง“อนุทิน”

โครงการ “คนละครึ่ง” ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายใต้การผลักดันของกระทรวงการคลัง และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยเปิดตัวในช่วงปี 2563 ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนจากมาตรการล็อกดาวน์ และ เศรษฐกิจหดตัวรุนแรง

เป้าหมายโครงการ : เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และอัดฉีดการใช้จ่ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการที่รัฐร่วมจ่าย 50% ของค่าสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้จำเป็น

กลุ่มเป้าหมาย : ประชาชนทั่วไปอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีบัตรประชาชนไทย และไม่ใช่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ซึ่งได้รับสิทธิ์รูปแบบอื่นอยู่แล้ว)

กลไกการใช้จ่าย : ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยประชาชนต้องจ่ายผ่านระบบ G-Wallet และรัฐจะสมทบให้อัตโนมัติครึ่งหนึ่งตามวงเงินที่กำหนด

วงเงิน-การขยายโครงการ

ตลอดระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ปี 2563–2565 มีการดำเนินการหลายเฟส รวมถึงมาตรการเสริม เช่น คนละครึ่งเฟส 1–5 โดยใช้งบประมาณรวมกว่า 3.4 แสนล้านบาท มีผู้เข้าร่วมกว่า 30-35 ล้านคน และร้านค้าที่เข้าร่วมกว่า 1.5 ล้านราย

เฟส 1 (ต.ค. 2563) : ผู้ได้รับสิทธิ 10 ล้านคน รัฐสมทบไม่เกิน 3,000 บาท ใช้งบประมาณกว่า 30,000 ล้านบาท

เฟส 2 (ธ.ค. 2563 - มี.ค. 2564) : เพิ่มสิทธิอีก 5 ล้านคน และเพิ่มวงเงินสมทบให้ผู้ได้รับสิทธิ์จากเดิม 3,000 บาท เป็น 3,500 บาท

เฟส 3 (ก.ค. - ธ.ค. 2564) : เพิ่มสิทธิผู้เข้าร่วมถึง 31 ล้านคน สมทบอีก 3,000 บาท ใช้งบประมาณกว่า 90,000 ล้านบาท

เฟส 4 (ก.พ. - เม.ย. 2565) : ต่อเนื่องอีก 1,200 บาทต่อคน ครอบคลุมผู้ใช้ 26.3 ล้านคน

เฟส 5 (ก.ย. – ต.ค. 2565) : มาตรการต่ออายุระยะสั้น รัฐสมทบ 800 บาทต่อคน ใช้งบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท

ผลลัพธ์ของโครงการคนละครึ่ง

เศรษฐกิจกระเตื้องทันที : มีการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบสูงสุดกว่า 3 แสนล้านบาท โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่หมุนเวียนในร้านค้า SME และ ผู้ค้ารายย่อย

ลดภาระประชาชน : ประชาชนมีแรงจูงใจจับจ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19

ผลักดันดิจิทัลเพย์เมนต์ : ทำให้แอป “เป๋าตัง” กลายเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ประชาชนใช้กันอย่างแพร่หลาย และเป็นต้นแบบให้กับโครงการรัฐถัดๆ มา เช่น “เราชนะ” และ “เราเที่ยวด้วยกัน”

โครงการ “คนละครึ่ง” เคยพิสูจน์แล้วว่า เป็นมาตรการที่ตอบโจทย์ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ การช่วยเหลือประชาชนโดยตรง 

การที่ “พรรคภูมิใจไทย” นำกลับมาพิจารณาใหม่ ใน “รัฐบาลอนุทิน” จึงเป็นการปัดฝุ่นเครื่องมือเศรษฐกิจ ที่เคยได้ผลมาแล้ว เพื่อเร่งอัดฉีดกำลังซื้อในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก

สิ่งที่ต้องจับตาคือ งบประมาณที่แท้จริงจะอยู่ที่เท่าไร และ โครงการจะถูกออกแบบใหม่อย่างไร ให้ตอบโจทย์ทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจ และ ความพึงพอใจของประชาชน โดยไม่ตกอยู่ในข้อครหาว่า เป็นเพียง “นโยบายประชานิยมเพื่อหาเสียงทางการเมือง” อีกครั้ง...