เอกชนหวังเห็นรัฐบาลใหม่ทำเพื่อประเทศมากกว่าหาประโยชน์ส่วนตัว

04 ก.ย. 2568 | 06:26 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.ย. 2568 | 06:26 น.

เอกชนคาดหวังจะได้เห็นรัฐบาลใหม่ทำเพื่อประเทศ ประชาชน มากกว่าการรักษาประโยชน์ส่วนตัว และทำลายคู่แข่ง ยอมรับเวลามีน้อยแต่วางกรอบนโยบายที่ดีได้

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก สร้างเสถียรภาพทางการเมืองเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
  • เสนอให้เร่งดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อภาคเอกชน
  • แสดงความกังวลต่อปัญหาคอร์รัปชัน โดยหวังให้รัฐบาลใหม่มีนโยบายปราบปรามอย่างจริงจังและไม่เข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตน

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการบริษัท ซินเน็ค จำกัด อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นเรื่องสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และการเลือกนายกฯคนที่ 32 ว่า คงคาดหวังอะไรไม่ได้มาก เพียงแต่ขอให้มองเรื่องผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก โดยในเรื่องของเศรษฐกิจก็ต้องการให้มีสเถียรภาพ ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากการเมืองที่สเถียรภาพ โดยเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วง

อย่างไรก็ดี หากผู้เข้าทำงานบริหารประเทศมีความตั้งใจร่วมมือกันทำงานเพื่อประชาชนจริงจะเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก และจะทำให้เศรษฐกิจ และประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญก็คือ ข้าราชการต้องให้ความร่วมมือ อย่ามองเพียงแค่ว่ารัฐบาลเข้ามาชั่วคราวแล้วหมดวาระก็มีการปรับเปลี่ยน หากรัฐบาลมีนโยบายที่จะช่วยเหลือ และขับเคลื่อนจริง ไม่ใช่มาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง หรือทำลายคู่แข่ง 

ทั้งนี้ แน่นอนว่าระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือนของรัฐบาลนั้นน้อยมาก แต่ก็สามารถวางกรอบนโยบายที่ดีขึ้นมาได้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการบริหารประเทศอย่างแท้จริง ทำงานอย่างจริงจังโดยที่ไม่ได้สนใจจะรักษาผลประโยชน์ของตนเอง แต่นำปัญหาของเอกชนและประชาชนมาพิจารณา 

แม้จะมีรัฐบาลที่เข้มแข็งในระยะสั้นก็ต้องรีบดำเนินการ เพราะสามารถสั่งการได้ เนื่องจากบางเรื่องมีหลายกระทรวงเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากมีการร่วมมือช่วยกันก็จะทำให้เป็นไปได้เร็วมากขึ้น จากเดิมที่มีคนละพรรค คนละพวกทำให้ไม่สามารถเดินหน้านโยบายได้ โดยมองว่าน่าจะดีกว่ารัฐบาลที่ไม่เข้มแข็งแต่อยู่ยาวซึ่งทำอะไรไม่ค่อยได้

สำหรับนโยบายเร่งด่วนที่ภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลเร่งดำเนินการคงมองเรื่องของเศรษฐกิจ การลงทุน และความเชื่อมั่น ซึ่งจะทำอย่างไรให้ได้ดี แม้จะเป็นเรื่องยากเพราะถูกจำกัดด้วยเงื่อนระยะเวลา 4 เดือน เช่น การตั้งกองทุนเพื่อช่วยเอกชน หรือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) จะช่วยเอสเอ็มอี (SMEs) ได้หรือไม่ เป็นต้น โดยทำให้เป็นรูปธรรม มีการวางกรอบที่ชัดเจนไว้เป็นแนวทางปฏิบัติ

นอกจากนี้ คงต้องไปดูเรื่องการแก้กฏหมายที่มีปัญหา รวมถึงเป็นอุปสรรคและไม่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนของภาคเอชนทั้งหมด ที่ไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงระบบโครงสร้างภาษีที่ช่วยเอสเอ็มอี หรือเรียกว่าเป็นโยบายที่ส่งเสริมให้เกิดผลลัพธ์ได้อย่างแท้จริง

หากถามว่ามีข้อเป็นห่วง หรือกังวลเรื่องอะไรบ้างนั้น มองว่าน่าจะเป็นเรื่องการฟ้องร้องกันไปมาแบบไม่มีที่สิ้นสุด โดยฝ่ายที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ควรเตรียมการเรื่องการเลือกตั้ง ซึ่งหากมองว่าจะได้เป็นรัฐบาลต่อก็ต้องเตรียมนโยบายที่ดีเพื่อประชาชน

อย่างไรก็ดี สิ่งที่แย่ที่สุดซึ่งไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดไหนก็ไม่สามารถแก้ไขได้ก็คือเรื่องกาาคอร์รับชั่น โดยหากผู้ที่จะเข้ามาบริหารประเทศคิดได้ ว่าจะทำเพื่อประชาชน เพราะส่วนใหญ่ก็ถือว่ามีฐานะที่ดี จะทำให้มีเงินงบประมาณจำนวนมากในการบริหาร และทำให้ประเทศมั่นคง

“ต้องมีนโยบายในการปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง ตั้งแต่นายกฯเอง โดยทำให้กระทรวงที่เกี่ยวกับการเงินเป็นกระทรวงที่สร้างผลงานมากกว่าการรับเงิน ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ประเทศเจริญได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกวันนี้มีแต่ผู้ที่ต้องการเข้าสู่โหมดอำนาจ เพื่อต้องการเงินจึงทำให้เกิดการคอร์รัปชั่น โดยต้องยอมรับว่าที่ขัดแย้งกันอยู่ในปัจจุบันเป็นเพราะเรื่องผลประโยชน์”