วันนี้ (2 กันยายน 2568) รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เสนอ
สำหรับร่าง พ.ร.บ. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ฉบับใหม่ เป็นการดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการจากการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Top-Up Tax) ถือเป็นการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่ ซึ่งประเทศไทยได้ตราพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568
ทั้งนี้เพื่อจัดเก็บภาษีดังกล่าวจากกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่และนิติบุคคลในเครือ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทยที่มีรายได้รวมทั้งหมดตามงบการเงินรวมของนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสุดของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาตินั้น ตั้งแต่ 750 ล้านยูโรขึ้นไป (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) ในอย่างน้อย 2 รอบระยะเวลาบัญชีในช่วง 4 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนหน้ารอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันที่พิจารณาเป็นผู้มีหน้าที่ต้องเสีย Top-Up Tax
โดยต้องเสียภาษีขั้นต่ำ (GMT) ในอัตรา 15% (ซึ่งต้องเริ่มคำนวณและยื่นแบบเพื่อชำระภาษีดังกล่าวตั้งแต่ปี 2568) อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการรองรับการเสียภาษีขั้นต่ำ (Global Minimum Tax) ตาม Pillar 2 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
จากการศึกษาพบว่า ในต่างประเทศได้มีการนำวิธีการให้เครดิตภาษี (Qualified Refundable Tax Credits: ORTC) ซึ่งเป็นการคืนเงินภาษีในรูปแบบของเงินสดหรือเทียบเท่า หากบริษัทสามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลของผู้จัดเก็บภาษีกำหนด มาใช้เป็นแนวทางในการบรรเทาผลกระทบจากการจัดเก็บ Top-Up Tax และวิธีการ ORTC เป็นวิธีการที่ OECD ให้การยอมรับ
สรุปสาระสำคัญ ร่าง พ.ร.บ. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ฉบับใหม่ มีดังนี้
1. การให้สิทธิและประโยชน์เครดิต และการนำเครดิตไปใช้แทนการชำระภาษีอากร โดยกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติให้ผู้ได้รับการส่งเสริมสามารถได้รับสิทธิเครดิตภาษีตามสัดส่วนของการลงทุนหรือค่าใช้จ่ายครอบคลุม 3 ด้าน
โดยผู้ได้รับการส่งเสริมสามารถนำเครดิตภาษีที่ได้รับอนุมัติไปใช้แทนการชำระภาษีอากรของตนเองหรือนิติบุคคลในเครือเดียวกันที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยโดยต้องนำไปใช้แทนการชำระภาษีอากรภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด
2. การคืนเครดิตภาษีที่เหลืออยู่จากกองทุนฯ ผู้ได้รับการส่งเสริมสามารถยื่นคำขอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขอรับเครดิตภาษีที่เหลืออยู่คืนเป็นเงินสดภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด และคณะกรรมการนโยบายมีอำนาจพิจารณาให้นำเงินจากกองทุนฯ มาจ่ายคืนสำหรับเครดิตภาษีที่เหลืออยู่นั้นได้
ทั้งนี้ ภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนให้เพียงพอต่อการคืนเงินสด (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 6 มาตรา 29 มาตรา 30 และเพิ่มมาตรา 26/1)
3. การเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เครดิตภาษี โดยกำหนดให้ในกรณีที่มีการตรวจสอบพบการให้หรือการใช้สิทธิและประโยชน์เครดิตภาษีไม่ถูกต้อง คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจในการเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เครดิตภาษี โดยอาจกำหนดให้มีผลย้อนหลังไปยังรอบปีภาษีที่ไม่ถูกต้องได้ และให้นำกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับต่อไป (เพิ่มมาตรา 27/1)
4. การประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ กำหนดอำนาจให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสามารถประสานไปยังกระทรวงการคลังซึ่งเป็นต้นสังกัดของหน่วยงานผู้จัดเก็บภาษีอากร ให้จัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรตามกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องได้ (เพิ่มมาตรา 12/1)
5. บทเฉพาะกาล