สศช.ชี้เด็ก Gen Z เสี่ยงว่างงานสูง เก่งเทคโนโลยี AI แต่ประสิทธิภาพต่ำ

25 ส.ค. 2568 | 06:35 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ส.ค. 2568 | 07:16 น.

สศช. เปิดข้อมูลภาวะสังคมไทย 2568 ชี้เด็ก Gen Z มีความเสี่ยงว่างงานเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการกังวลใจในการรับเด็กจบใหม่เข้าทำงาน ชี้แม้จะเก่งเทคโนโลยี แต่ใช้งานได้ไม่มีประสิทธิภาพ

วันนี้ (25 สิงหาคม 2568) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายการภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 2 ปี 2568 โดยรายงานสถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญเกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายของเด็กจบใหม่ในโลกการทำงาน ว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประชาชนในกลุ่ม Gen Z จะกลายมาเป็นกำลังแรงงานหลักของประเทศ แต่ด้วยทัศนคติและพฤติกรรมการทำงานที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน จึงเป็นโอกาสและความท้าทายอย่างมาก

จากงานศึกษาหลายแห่ง ชี้ให้เห็นว่า ทัศนคติและพฤติกรรมในการทำงานของ Gen Z มีความน่าสนใจและแตกต่างจากคนรุ่นก่อนหน้าอย่างมาก โดยในกรณีของไทยมีด้วยกัน 5 เรื่อง ดังนี้

1. Gen Z บางส่วนเลือกจะไม่เรียนต่อ 

2. การเข้าสู่ตลาดแรงงานช้าลง 

3. Gen Z มีความเป็นผู้ประกอบการในตัวเองสูง 

4. จริยธรรม คุณค่า และ Work-Life Balance 

5. ความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำงาน 

6. Gen Z มีแนวโน้มที่จะขาด Soft Skills ที่จำเป็นต่อการทำงาน  

นายดนุชา กล่าวว่า สศช.มองทัศนคติและพฤติกรรมของ Gen Z อาจนำมาซึ่งผลกระทบในระยะถัดไป ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งผลดีและผลเสียต่อธุรกิจ และต่อตัวแรงงานเอง ดังนี้ 
 

ผลกระทบด้านบวก

1. เพิ่มโอกาสในการสะสมประสบการณ์ที่หลากหลาย Gen Z บางส่วนสามารถประสบความสำเร็จในการทำงานได้ไว จากการเรียนรู้ในสิ่งที่ถนัดด้วยตนเองโดยไม่พึ่งพาการศึกษาในระบบ มีเวลาทบทวนตนเองอย่างจริงจังจากการหยุดพัก อาจทำให้มีความเชี่ยวชาญในทักษะที่ต้องการได้เร็วขึ้น 

อีกทั้ง ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มที่มีข้อจำกัดด้านทุนทรัพย์ ซึ่งสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านช่องทางที่หลากหลาย ขณะเดียวกัน การที่คนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามกับคุณภาพของระบบการศึกษามากขึ้น ยังสะท้อนถึง ความต้องการในการเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนรู้ ให้มีความยืดหยุ่น ทันสมัย และสอดคล้องกับโลกการทำงาน ยุคปัจจุบันมากขึ้น

2. แม้เด็กจบใหม่จะมีข้อจำกัดด้านประสบการณ์ในการทำงาน แต่การมีความถนัดด้านทักษะ AI ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน อาจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหางานได้ จากรายงานการสำรวจ Work Trend Index 2024 พบว่า 91% ของผู้บริหารในไทยเชื่อว่าบริษัทของตนจำเป็นต้องนำนวัตกรรม AI มาใช้ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด 

โดยกว่า 90% ยังเลือกที่จะจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์น้อย แต่มีทักษะด้านการใช้ AI แทนการการจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์สูงแต่ขาดทักษะในด้านนี้ สอดคล้องกับข้อมูล ของ Coursera ปี 2568 ที่พบว่า นายจ้างในไทยกว่า 95% ต้องการผู้สมัครที่มีใบรับรอง Generative Al แม้จะมีประสบการณ์น้อยกว่าผู้สมัครที่มีประสบการณ์แต่ไม่มีใบรับรอง 

ขณะเดียวกัน ผู้บริหารกว่า 98% ยังคิดว่า การมีใบรับรองการพัฒนาความสามารถที่เฉพาะเจาะจง (micro-credentials) จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผู้สมัครงานได้อีกด้วย

3. ความหลากหลายทางเศรษฐกิจดิจิทัลจะเพิ่มโอกาสการจ้างงานในรูปแบบใหม่ การที่ Gen Z บางส่วนหันมาเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น โดยเฉพาะในรูปแบบ Gig Economy และ Freelancing ทำให้เกิด นวัตกรรมธุรกิจใหม่ อาทิ Creator Economy หรือแพลตฟอร์มที่ให้คอนเทนต์ครีเอเตอร์เข้าไปสร้างเนื้อหา และสร้างรายได้จากความถนัดของตัวเอง 

จากข้อมูลของ Linktree ปี 2567 พบว่า ตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทย มีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 25 - 30% โดยมีมูลค่าของตลาดรวมมากถึง 45,000 ล้านบาท และ Social Gaming หรือเกมออนไลน์ที่ทำให้ผู้เล่นมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เล่นด้วยกันเอง ซึ่งบางรูปแบบสามารถสร้างรายได้ได้จริง เช่น ESports และการสตรีมเกม เป็นต้น

 

สศช.ชี้เด็ก Gen Z เสี่ยงว่างงานสูง เก่งเทคโนโลยี AI แต่ประสิทธิภาพต่ำ

 

ผลกระทบด้านลบ

1. ผู้ประกอบการกังวลใจในการรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมองว่า ทัศนคติและพฤติกรรมบางอย่างอาจสร้างผลกระทบต่อองค์กร อาทิ การลาออกหรือเปลี่ยนงานบ่อยทำให้ต้นทุน การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลสูงขึ้น ความคุ้มค่าของผลิตภาพและคุณภาพงานที่ได้ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานข้ามักจะมีข้อจำกัดด้านประสบการณ์และทักษะในงาน ผู้ประกอบการบางส่วนอาจมองว่าไม่คุ้มต่อการจ้างงานหรือได้งานที่ไม่มีประสิทธิภาพ

สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและสังคมระดับ ภูมิภาค ของมหาวิทยาลัย Sheffield Hallam ที่พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักรมักจะเลือกจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์พร้อมสามารถปฏิบัติงานได้ทันที อีกทั้ง การจ้างบัณฑิตใหม่ยังต้องใช้ต้นทุนทรัพยากรในการฝึกอบรมมาก ซึ่งไม่สอดคล้องกับขนาดธุรกิจ

2. ความเสี่ยงที่เด็ก Gen Z จะว่างงานเพิ่มขึ้น แม้อัตราการว่างงานของเด็ก Gen Z จะมีแนวโน้มลดลง แต่เมื่อเทียบในรายกลุ่มอายุ ระดับการศึกษา และในภาพรวมประเทศ พบว่า กลุ่มนี้ก็ยังคงมีอัตราการว่างงาน สูงที่สุดมาโดยตลอด โดยในปี 2567 Gen Z มีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.8%

เมื่อพิจารณาตามระดับ การศึกษา ยังพบว่า กลุ่มอุดมศึกษาเป็นกลุ่มที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดที่ 2% รองลงมาเป็น กลุ่มที่จบ วิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) และอาชีวศึกษา (ปวช.) ที่มีอัตราการว่างงานที่ 1.8 และ 1.4% ตามลำดับ ทั้งที่อัตราการว่างงานในภาพรวมประเทศอยู่ที่เพียง 1%

3. การที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยีในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้ระบบการเรียนรู้ถดถอย ซึ่งจากผลสำรวจของ MIT ปี 2568 พบว่า การใช้ AI มากเกินไปอาจทำให้คิดเองน้อยลง สมองเฉื่อยลง สูญเสียความสามารถในการจำ วิเคราะห์ และคิดเชิงสร้างสรรค์ในระยะยาว 

สอดคล้องกับงานสำรวจของ EY ปี 2024 ที่พบว่า Gen Z ทำคะแนนในด้านความเข้าใจ แนวคิดพื้นฐานของ AI ได้ถึง 69 คะแนน แต่คะแนนด้านการใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเขียนคำสั่ง กลับได้เพียง 56 คะแนน และที่น่ากังวล คือ ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ต่อผลลัพธ์ที่ได้จาก AI เช่น การระบุ ข้อบกพร่อง การแยกแยะข้อมูลที่สร้างโดย AI กลับทำคะแนนได้เพียง 44 คะแนนเท่านั้น

 

สศช.ชี้เด็ก Gen Z เสี่ยงว่างงานสูง เก่งเทคโนโลยี AI แต่ประสิทธิภาพต่ำ

 

จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายที่ผู้ประกอบการและเด็กจบใหม่ รวมไปถึง ภาครัฐจะต้องมีการปรับตัว ดังนี้ ด้านผู้ประกอบการ จำเป็นต้องปรับแนวทางการทำงานและสนับสนุนสวัสดิการ ให้สอดคล้องกับความต้องการของพนักงานรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะการส่งเสริมและพัฒนาทักษะการใช้งาน Al เชิงลึก การทำงานแบบ Hybrid Work และการลงทุนในนวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการทำงาน 

จากการศึกษาของ International Workplace Group ปี 2567 พบว่า องค์กรที่นำระบบการทำงานแบบไฮบริดมาใช้สามารถลดอัตราการลาออกของพนักงานได้ถึง 35% สำหรับแรงงาน โดยเฉพาะ Gen Z ต้องทำความเข้าใจ และปรับตัวให้เข้ากับโลกการทำงานจริง โดยควรพัฒนาทั้ง Hard Skills และ Soft Skills ที่จำเป็นต่อการทำงานทั้งในบริบทของการเป็นพนักงานและเจ้าของธุรกิจก็ตาม 

ปัจจุบันสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้สะดวกยิ่งขึ้นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่มี Micro-Credentials ที่ช่วยรับรองทักษะ เฉพาะทางและเพิ่มความน่าเชื่อถือในตลาดแรงงาน 

ขณะที่ภาครัฐ ต้องเริ่มตั้งแต่การปรับโครงสร้างการผลิตกำลังคน ให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ อาทิ ลดการผลิตกำลังคนในสาขาที่ล้นตลาด เพิ่มแรงจูงใจในการเรียนต่อในสาขาที่มีความต้องการสูง การร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาหลักสูตร/การฝึกงานเพื่อให้ ตรงกับทักษะที่ตลาดงานต้องการ 

อีกทั้ง ควรต้องส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้แรงงานสามารถวางแผนและพัฒนาทักษะ โดยเร่งพัฒนาระบบข้อมูลความต้องการแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานทักษะสูง รวมทั้งการสนับสนุนให้แรงงานทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการฝึกอบรมผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ แพลตฟอร์ม มหาวิทยาลัย และกรมพัฒนาฝีมือแรงงานด้วย

รู้จักเด็กรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z 

สำหรับประชาชนในกลุ่ม Gen Z คือ คำจำกัดความของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน ซึ่งเกิดในช่วงปี 2539 - 2553 และขณะนี้ มีอายุประมาณ 15 – 29 ปี โดยเป็นกลุ่มประชากรที่เติบโตมากับเทคโนโลยีดิจิทัล จึงมีลักษณะเฉพาะตัว ทั้งในด้านความคิด ไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมการทำงาน กลายเป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ เนื่องจาก Gen Z จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อตลาดแรงงานในอนาคตมากขึ้น

สะท้อนได้จากข้อมูลของ McCrindle ที่พบว่า ในปี 2568 กำลังแรงงาน Gen Z มีสัดส่วนอยู่ที่ 27% ของกำลังแรงงานทั่วโลก และคาดว่าภายในปี 2578 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 31% ซึ่งจะกลายเป็นกลุ่มแรงงานหลักทดแทนแรงงานในช่วงอายุก่อนหน้าที่มีแนวโน้มลดลง อย่างต่อเนื่อง 

สำหรับประเทศไทย Gen Y และ Gen X จะยังคงเป็นกำลังแรงงานหลักของประเทศ โดยในปี 2567 มีสัดส่วนอยู่ที่ 35.1% และ 33.6% ตามลำดับ ขณะที่ Gen Z มีจำนวนอยู่ที่ 7.4 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 18.3% ของกำลังแรงงานทั้งหมด 

แต่ในอนาคต Gen Z จะกลายเป็นกำลังแรงงานหลักของประเทศ เพื่อทดแทนช่วงอายุก่อนหน้าที่เริ่มเกษียณออกจากตลาดแรงงาน สอดคล้องกับข้อมูลของ Adecco ปี 2566 ที่คาดการณ์ว่า ภายในปี 2571 Gen Z จะมีสัดส่วนถึงประมาณหนึ่งในสี่ของตลาดแรงงานไทย หรือเพิ่มขึ้น ที่ประมาณ 25%