สภาพัฒน์ ฝากความหวัง 2 เครื่องยนต์ศก. ประคอง GDP ปี 68 โต 2%

18 ส.ค. 2568 | 07:34 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ส.ค. 2568 | 07:39 น.

สภาพัฒน์ ฝากความหวัง 2 เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลัก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง ประคอง GDP ปี 2568 ให้ขยายตัวตามเป้าหมาย 2% ภายใต้ความเสี่ยงจากภาษีสหรัฐฯ

วันนี้ (18 สิงหาคม 2568) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2568 ว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2568 สศช.มองว่า การลงทุนภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการส่งออก จะเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพื่อให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 2%

“การลงทุนของรัฐและเอกชนจะเป็นตัวสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ และต้องเร่งรัดปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกผู้ส่งออกและนักลงทุนต่างประเทศ เพื่อให้การส่งออกและการลงทุนสามารถขยายตัวต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการเร่งทำตลาดการท่องเที่ยวในตลาดระยะไกล ด้วยการต้องสร้างกิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว พร้อมดูแลความปลอดภัย และชีวิตทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวควบคู่กัน” นายดนุชา ระบุ

ทั้งนี้ สศช.ประเมิน การลงทุนรวมในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.1% เทียบกับ 0.0% ในปี 2567 และเป็นการปรับเพิ่มจาก 0.9% ในการประมาณการครั้งก่อน โดยมีสาเหตุจากการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัว 1% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง -1.6% ในปีก่อนหน้า และเป็นการปรับเพิ่มจากการลดลง -0.7% ในการประมาณการครั้งก่อนเพื่อให้สอดคล้องกับข้อมูลจริงในครึ่งปีแรกที่ขยายตัวสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 

ด้านการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 5.2% ต่อเนื่องจาก 4.8% ในปี 2567 แต่เป็นการปรับลดจาก 5.5% ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา ตามการปรับลดสมมติฐานอัตราเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจ่าปีงบประมาณ 2568 และการปรับสมมติฐานการจัดสรรงบประมาณภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ

ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ คาดว่าจะขยายตัว 5.5% ชะลอลงจาก 5.8% ในปี 2567 แต่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.8% ในการประมาณการครั้งก่อน ตามการขยายตัวในเกณฑ์สูงของมูลค่าการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ที่ขยายตัว 15%

อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบจากอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกจะเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 

ทั้งนี้เมื่อรวมกับการปรับลดการส่งออกบริการ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดสมมติฐานจำนวนและรายรับจากต่างท่องเที่ยวต่างชาติ คาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2568 จะขยายตัว 5.1% ชะลอลงจาก 7.8% ในปีที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจาก 3.5% ในการประมาณการครั้งก่อน
 

นายดนุชา กล่าวว่า การลงทุนรัฐและเอกชนต้องขับเคลื่อนให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆให้การส่งออกขยายตัวได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีสหรัฐฯ แม้ว่าภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ จะชัดเจนแล้วว่าจะจัดก็บกับสินค้าไทย 19% แต่ก็ความเสี่ยงในรายสินค้าเฉพาะเจาะจง (Specific tariffs) ซึ่งประเทศไทยจึงต้องเร่งเตรียมการไม่ให้เกิดปัญหาในช่วงถัดไป 

ขณะเดียวกันยังต้องเร่งดูแลเรื่องปัญหาการสวมสิทธิในสินค้าส่งออก (Transshipment) โดยต้องมีการกำกับดูแลให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการสวมสิทธิ เพราะถ้าช่วงถัดไปนี้ ถูกตรวจสอบพบว่ามีการสวมสิทธิจะเกิดปัญหาตามมาอีกได้ 

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน ยังต้องเร่งหารือเกี่ยวกับกระบวนการและการรับรองสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำคัญ ๆ (Regional Value Content: RVC) เพื่อกำหนดรายละเอียดให้เหมาะสมกับสินค้าไทยในการส่งออกไปสหรัฐฯ ด้วย

อย่างไรก็ตาม สศช. มีข้อเสนอว่า ในการขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับประเด็นสำคัญในด้านการลงทุน ดังนี้

1. การเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2566 -2568 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนซึ่งมียอดขอรับการลงทุนที่สูงในช่วงที่ผ่าน 

2. การทบทวนสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนผ่านรูปแบบการร่วมลงทุน (Joint Venture) และส่งเสริมการสร้างธุรกิจเกี่ยวเนื่องในไทย รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการถ่ายโอนองค์ความรู้และเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการไทย และลดความเสี่ยงจากการใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกสินค้า (Transshipment)

พร้อมทั้งการทบทวนสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยกำหนดเงื่อนไขการใช้วัตถุดิบ (Local Content) การจ้างแรงงานภายในประเทศ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น 

3. การพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการปรับลดอุปสรรคด้านขั้นตอนกระบวนการ และข้อบังคับ/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิตและการพัฒนาผลิตภาพแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมและภาคบริการเป้าหมาย รวมทั้งการเพิ่มผลิตภาพการผลิตผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อน่าไปสู่การผลิตสินค้าไทยที่มีศักยภาพและสามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลกมากขึ้น

ขณะที่การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องนั้น สศช.เสนอว่า ต้องมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง รวมถึงการเตรียมความพร้อมของปัจจัยแวดล้อมด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ สนามบิน/เที่ยวบิน กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอ่านวยความสะดวกการบริหารจัดการพื้นที่และสิ่งแวดล้อม 

รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มพำนักระยะยาว ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น และการส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูงและยกระดับศักยภาพและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและยั่งยืน

นอกจากนี้ยังเสนอให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่าย ลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจ่าปี 2568 ไม่ให้ต่ำกว่า 65% ของกรอบงบลงทุนรวม โดยเร่งรัดกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการก่อหนี้ ผูกพันสัญญาโดยเฉพาะในโครงการที่สำคัญทั้งโครงการลงทุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ 

รวมทั้ง การเร่งรัดการดำเนินการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบ เศรษฐกิจที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมดำเนินการโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว เพื่อให้แรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐมีความต่อเนื่อง 

ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพทางการคลังเพื่อเพิ่ม ช่องว่างทางการคลัง (Fiscal Space) ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ เพื่อรองรับหากมีสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์เกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงเพื่อไม่ให้เสถียรภาพทางการคลังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Credit Rating) ในระยะต่อไป