ทิศการค้าโลกเปลี่ยน นักธุรกิจซบลงทุน ไทย-เวียดนาม แทนจีน

11 ส.ค. 2568 | 23:19 น.

นโยบายการเก็บภาษีสหรัฐฯ และความขัดแย้งไต้หวัน-จีน สะเทือนการเปลี่ยนทิศทางการค้าโลก ส่งออกยุโรป-สหรัฐฯ ชะลอ ขณะไทย-เวียดนาม เป็นเป้าหมายการลงทุนเทคโนโลยีแทนจีน

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า นโยบายภาษีศุลกากรของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการใช้เพื่อสกัดกั้นการแข่งขันจากต่างประเทศในตลาดสหรัฐฯ รวมถึงความขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับจีนต่อกรณีข้อพิพาทกับไต้หวัน กำลังดำเนินไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดครั้งแรกของห่วงโซ่อุปทานโลก 

โดยมีการรายงานว่าที่เมืองรอต-เตอร์ดัม ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป มีปริมาณการขนส่งผ่านเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลงถึง 23.1% ในไตรมาสแรกของปีนี้ (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า) 

ขณะที่การค้าโลกในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 มีความผันผวนสูง โดยเป็นผลมาจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐ และความผันผวนนี้ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในมิติการค้าและการลงทุน 

ส่งผลให้ช่วงปลายปีที่ผ่านมาคลังสินค้าหลายแห่งในสหรัฐฯ มีสินค้าเต็มจนแทบจะล้นคลัง ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากท่าเรือในฮัมบูร์ก สำหรับการค้ากับสหรัฐฯ ลดลงในไตรมาสแรก ซึ่งปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน (TEU) สู่สหรัฐฯ อยู่ที่ 145,000 ตู้ ในไตรมาสช่วงฤดูใบไม้ผลิ ลดลงถึง 19% 

ขณะที่สถานการณ์แตกต่างจากท่าเรือฮัมบูร์กและรอตเตอร์ดัม ซึ่งเป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุดในการการเชื่อมต่อกับสหรัฐกับยุโรปยังคงมีปริมาณการขนส่งไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้นอยู่

แม้ว่าการส่งออกรถยนต์ก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของปีนี้ โดยการส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลลดลง 14.3% รถตู้และรถบรรทุกลดลง 31.5% แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และคาดว่า สถานการณ์จะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป 

อย่างไรก็ตาม การผลักดันการปฏิรูปอุตสาหกรรม โดยนโยบายภาษีนำเข้ามีบทบาทที่สำคัญ ซึ่งฝั่งตรงข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกำลังมุ่งเน้นไปที่ยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) รถยนต์ไฟฟ้า ยา เหล็กกล้า และการต่อเรือ โดยที่ท่าเรือแอนต์เวิร์ปได้รายงานให้ทราบถึงปริมาณการส่งออกเหล็ก และเหล็กกล้าที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 

ทั้งนี้ ผลกระทบที่น่าตกใจที่สุดในปัจจุบัน คือ ปริมาณการนำเข้าสินค้าจากจีนมาตลาดยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าสหภาพยุโรป (EU) จะเพิ่งเรียกร้องให้เศรษฐกิจของทวีปนี้เป็นอิสระจากจีนมากขึ้น เนื่องจากความขัดแย้งในไต้หวันที่ทวีความรุนแรงขึ้นก็ตาม ขนาดที่ EU เคยพูดถึงเรื่อง “การแยกตัว” ออกจากห่วงโซอุปทานนี้กันอย่างกว้างขวางเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำให้สถานการณ์ตอนนี้กลับดำเนินไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยเฉพาะที่ท่าเรือฮัมบูร์ก ปริมาณสินค้าจากจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเมืองเติบโตขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือคิดเป็น 597,000 TEU ในไตรมาสแรก ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากเอเชียไปยังท่าเรือเมืองรอตเตอร์ดัมก็เพิ่มขึ้น 8.4% 

สาเหตุหลักที่ปริมาณการนำเข้าสูงขึ้นเป็นเพราะมีการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น เพราะผู้ผลิตในยุโรปกังวลมานาน เนื่องจากจีนไม่สามารถขายสินค้าในสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป แต่การผลิตในจีนยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุด ทำให้ผลผลิตจำนวนมหาศาลจึงเทกระจาดมาท่วมสหภาพยุโรป

ทั้งนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างชาติตะวันตกและจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ อย่าง Samsung, Apple, Dell, Nokia และ NXP ได้ริเริ่มการกระจายแหล่งผลิตออกไปอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์นี้ ไม่เพียงแต่เกิดจากตัวเร่งอย่างจากนโยบายของที่แข็งกร้าวของ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนต่อไต้หวันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวเร่งอื่น ๆ อย่างต้นทุนแรงงานในจีนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย 

โดยประเทศได้รับผลประโยชน์จากการกระจายแหล่งผลิตออกไปของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ กลายเป็นประเทศไทย โดยผู้ผลิตเทคโนโลยีจำนวนมากรายงานว่า นับตั้งแต่ปี 2019 พวกเขามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 100% ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันไทยกลายเป็นประเทศผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีชื่อเสียงของ Apple ในการผลิต MacBook และสมาร์ทวอทช์อยู่แล้ว นอกจากนี้ HP ยังประกาศว่า ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2025 จะย้ายฐานการผลิต 90% จากจีนมายังไทยอีกด้วย 

ขณะที่เวียดนามเอง กำลังแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากจีนมาเป็นของตัวเองเช่นกัน โดยระหว่างปี 2019 - 2024 จำนวนผู้ผลิตชิ้นส่วนสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 96% ปัจจุบันเวียดนามเป็นผู้นำในห่วงโซ่การผลิตสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อปไปแล้ว 

โดยเฉพาะการจัดหาสินค้าให้กับบริษัท Apple และ Dell และด้วยอัตราการผลิตที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เวียดนามใช้ประโยชน์ด้านความใกล้ชิดกับจีนทำให้สามารถถ่ายโอน และบูรณาการความรู้ความชำนาญเข้ากับห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่ได้อย่างง่ายดาย 

นอกจากนี้ เวียดนามยังมีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าจีน และนโยบายของรัฐบาลที่เอื้อต่อการลงทุนจากต่างประเทศมาส่งเสริมอีกด้วย โดยบริษัท Everstream ยังได้รายงานอีกว่า นับตั้งแต่ปี 2019 จำนวนผู้ผลิตชิ้นส่วนด้านเทคโนโลยีในอินเดียเองก็เติบโตขึ้นเกือบ 85% เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาบริษัท Foxconn ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดของ Apple ได้ประกาศว่า จะลงทุน 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ กับโรงงานผลิตชิ้นส่วนแห่งใหม่ใกล้เมืองเจนไน ของอินเดีย เพื่อขยายการผลิตสมาร์ทโฟนออกไป 

อย่างไรก็ตามภาษีศุลกากรที่ทำเนียบขาวกำหนดไม่น่าจะเป็นสาเหตุของการหดตัวของห่วงโซ่อุปทาน ความเสื่อมถอยของเส้นทางการค้าข้ามผ่านช่องแคบอังกฤษที่ครั้งหนึ่งเคยใช้กันอย่างหนักเริ่มต้นขึ้นเมื่อห้าปีก่อนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สหราชอาณาจักรได้ประกาศออกจากสหภาพยุโรปนั่นเอง