ภาษีสหรัฐ 19% ยังไม่จบ จับตา ‘สินค้าสวมสิทธิ’ โจทย์ใหญ่ไทย

03 ส.ค. 2568 | 09:16 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ส.ค. 2568 | 09:25 น.

ภาษีสหรัฐ 19% ยังไม่จบ จับตา ‘สินค้าสวมสิทธิ’ โดนภาษีโหด 40% ‘พิชัย’ ระบุสหรัฐสงสัยสินค้าไทยเข้าข่าย 2 หมื่นล้านดอลลาร์ จากส่งออกทั้งหมด 5 หมื่นล้านดอลลาร์

อัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ใหม่ ที่สหรัฐได้ออกประกาศรวม 70 ประเทศทั่วโลก จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.68 เป็นต้นไป โดยประเทศไทยถูกเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสินค้า 19% จากเดิม 36% ซึ่งอยู่ในอัตราเดียวกันกับประเทศกัมพูชา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ยังคงแข่งขันได้ในเวทีโลก

อย่างไรก็ตาม การเจรจายังไม่จบ ยังมีประเด็นที่สหรัฐกังวล และยังต้องเจรจาต่อ ในเรื่องสินค้าสวมสิทธิ (Transshipment) ซึ่งภาษีสหรัฐเข้มงวดในเรื่องดังกล่าว หากหลังวันที่ 7 ส.ค.68 เป็นต้นไป สินค้าที่เข้าข่าย “สวมสิทธิ” จะโดนคิดอัตราภาษีเพิ่มอีก 40% ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของไทยที่ต้องระวังสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐที่มี import content สูง อาจถูกมองว่าไม่ได้ผลิตจริงในไทย

คาดสหรัฐเพิ่ม Local content มากกว่า 40%

โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หัวหน้าทัพทีมไทยแลนด์ เจรจาต่อรองกับสหรัฐ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องอัตราภาษีสินค้าสวมสิทธิ แต่คาดว่าสัดส่วนการผลิตภายในประเทศ (Local content) จะมากกว่า 40% และตอนนี้หากสินค้าไทยเข้าเกณฑ์สวมสิทธิจะคิดอัตราภาษี 40% ฉะนั้น ในเรื่องนี้รัฐบาลก็มีโจทย์ที่จะเข้าไปเร่งแก้ไขปัญหา

สำหรับประเทศไทยนั้น มูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐ เฉลี่ยกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ และสหรัฐสงสัยเรื่องสินค้าสวมสิทธิกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์

“เราได้สั่งการกรมศุลกากรไทย ทำการบ้านควบคู่กรมศุลกากรสหรัฐ ว่าสินค้าอยู่ที่ไทย ต้องแสดงต้นกำเนิดของสินค้า และยังเข้มงวดในเรื่องขอเข้าไปตรวจโรงงาน และให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามาเน้นดูแลในเรื่องนี้”

ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เพิ่มสัดส่วนลงทุน

นายพิชัย ยังกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เรายังรักษาความไม่เสียเปรียบ ยังต่อสู้อยู่ได้ เหมือนก่อนจะมีภาษีทรัมป์ แต่สะดุดเล็กน้อยช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา และเมื่อเดินต่อไปได้แล้วต้องมีดูโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่รอการเปลี่ยนแปลง โดยเราทำให้จีดีพีโต 3% ได้หลายไตรมาส และคาดว่าไตรมาส 2 นี้ จะถึง 3%

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ส่วนระยะยาวจะปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยคาดว่าหากยังไม่ทำอะไรจีดีพีจะโต 2.2% และเมื่อปรับแผนที่ชัดเจน แม้ไม่มีภาษีทรัมป์ก็ต้องทำ คือ ประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ทำให้คนมาลงทุนยาก ซึ่งการลงทุนไทยช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ต่ำมา ประมาณ 20%ของจีดีพี อย่างน้อยควร 30-35%

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เตรียมมาตรการดูแลผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐ สำหรับผู้ประกอบการที่ชะลอการส่งออก และขาดสภาพคล่องนั้น เตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) เข้ามาดูแล

ส่วนเรื่องการปรับปรุงต้นทุนสินค้า รัฐบาลจะเข้าไปเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการ ผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ

ทั้งนี้ ยังมอบหมายให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ช่วยเก็บข้อมูล จัดกลุ่มผู้ประกอบการ เช่น การเข้าไปปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น

ครึ่งปีหลัง เสี่ยงจีดีพีโตต่ำ ห่วงสินค้าจีนทะลัก

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยน่ารอดภาวะถดถอยทางเทคนิค แต่ยังเสี่ยงโตต่ำครึ่งปีหลัง ระวังสินค้าจีนทะลัก และสหรัฐฯ กีดกันจีนในห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค

โดยไทยลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐลงเหลือ 0% ในสินค้าส่วนใหญ่ แม้ไม่ใช่ทุกรายการเหมือนที่เวียดนามและอินโดนีเซียให้สหรัฐฯ และไทยน่าจะเจรจานำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น รวมถึงวางแผนระยะยาวในการลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ พร้อมเปิดตลาดภาคบริการและการลงทุนให้บริษัทสัญชาติอเมริกันมากขึ้น จนภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ จัดเก็บกับไทยเหลือเพียง 19% ลดลงจาก 36%

ทั้งนี้ ประเมินว่า จะมีผลต่อการส่งออกไทยหดตัวน้อยกว่าคาด ไทยได้เปรียบจากอัตราภาษีที่ต่ำลงจนใกล้เคียงกับเพื่อนบ้าน จะทำให้สินค้าไทยพอจะแข่งขันได้มากขึ้น โดยสินค้าที่พอจะแข่งขันได้ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางรถยนต์ อาหารแปรรูป และชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ

อย่างไรก็ตาม การเติบโตด้านส่งออกของไทยน่าจะหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะสหรัฐฯ จะลดการนำเข้าโดยรวม (จากการเร่งสต็อกของล่วงหน้า และเศรษฐกิจชะลอจากเงินเฟ้อที่จะขยับขึ้น) ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตของไทยชะลอ การจ้างงาน ชั่วโมงการทำงานและการบริโภคเสี่ยงขยายตัวต่ำในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ข่าวดี คือ ยังพอประคองตัวได้ ไม่หดตัวเช่นกรณีถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูง

เร่งสร้างฐานผลิตสำคัญ กันสินค้าสวมสิทธิ

นอกจากนี้ ควรลดความเสี่ยงจากการ “สวมสิทธิ” ส่งออกภาษีสหรัฐที่เข้มงวดทำให้ Transshipment (การลักลอบใช้สิทธิไทย) ลดลง เพราะจะโดนภาษีเพิ่มอีก​ 40% แต่ไทยต้องระวัง สินค้าที่มี import content สูง อาจถูกมองว่าไม่ได้ผลิตจริงในไทย ทางแก้ คือ เร่งสร้างฐานการผลิตในสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง เน้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พวกเซมิคอนดักเตอร์

ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) อาจเพิ่ม โดยนักลงทุนย้ายฐานจากจีนมาสู่ไทย ไม่ต้องแย่งเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งสินค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มที่ถูกเก็บภาษีพอ ๆ กัน และเน้นตลาดส่งออกไปสหรัฐฯ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, แบตเตอรี่, ชิ้นส่วนยานยนต์

“อย่าลืมว่าผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลง จากอัตราภาษีที่ไทยเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ลดลง เช่น ยาและเวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อาหาร และอาหารสัตว์ ข้าวโพด ถั่วเหลือง และอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการลงทุนในกลุ่มนี้”