สนามรบเปลี่ยนจากปืนสู่พรมแดนเศรษฐกิจ ผู้ชนะคือผู้ที่ยืนระยะได้ภายใต้ต้นทุนที่หนักขึ้นจากภาระภาษีที่จะเพิ่มขึ้นอีก 19% คำถามคือ “ใครจะได้เปรียบ?” และ “ผู้ประกอบการไทยจะปรับเกมอย่างไร?”
สถานการณ์การค้าปัจจุบัน ข้อมูลจากสหรัฐในปี 2024 (พ.ศ. 2567) ไทยส่งออกไปสหรัฐมูลค่า 63,300 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 17,700 ล้านดอลลาร์ ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ 45,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กัมพูชาส่งออกไปสหรัฐมูลค่า 12,700 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 320 ล้านดอลลาร์ กัมพูชาเกินดุลการค้าสหรัฐ 12,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้ไทยจะส่งออกมากกว่าหลายเท่า แต่สัดส่วนสินค้าที่ “แข่งขันโดยตรง” กับกัมพูชากลับเป็นจุดเปราะบางที่อาจสั่นคลอนจากภาษี 19% โดยกลุ่มสินค้าที่ไทยและกัมพูชาแข่งขันกันอย่างดุเดือดที่สุดในตลาดสหรัฐ ได้แก่
1.เสื้อผ้าและสิ่งทอ
- กัมพูชา : ส่งออกสินค้ากลุ่มนี้มากที่สุดไปสหรัฐ คิดเป็น เกือบ 60% ของยอดส่งออกรวม
- ไทย : แม้จะส่งออกน้อยกว่า แต่จับกลุ่มคุณภาพสูง แบรนด์ระดับพรีเมียม
เมื่อเจอภาษี 19% เท่ากัน :
- ได้เปรียบ : ไทย ที่มีฐานผลิตหลากหลาย ใช้เทคโนโลยีเย็บผ้าอัตโนมัติ
- เสียเปรียบ : กัมพูชา ที่ต้นทุนแรงงานคือจุดขายหลัก อาจสูญเสียความได้เปรียบด้านราคา
2. รองเท้าและเครื่องหนัง
- กัมพูชา : เป็นฐานผลิตให้แบรนด์ดังระดับโลก ส่งออกรองเท้าและกระเป๋ารวม กว่า 3 พันล้านดอลลาร์
- ไทย : แข่งขันในระดับ niche และบางส่วนเป็น ODM/OEM ระดับกลาง-สูงเมื่อ
เมื่อภาษีเท่ากัน :
- ได้เปรียบ : ไทย หากสามารถเร่งพัฒนาแบรนด์หรือขยับไปสู่ “รองเท้าอัจฉริยะ”
- เสียเปรียบ : กัมพูชา อาจโดนแซงหากตลาดพิจารณามากกว่าราคาต้นทุน เช่น ESG, ความโปร่งใสแรงงาน
3. อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน
- ไทย : เป็นผู้นำในกลุ่มนี้ ส่งออกมูลค่า 51.3 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะ HDD, คอมพิวเตอร์, ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์
- กัมพูชา : ยังมีขนาดเล็กและเน้นสายการประกอบเท่านั้น
- เมื่อภาษีเท่ากัน :
- ได้เปรียบ : ไทยชัดเจน เพราะ value-added สูง
- เสียเปรียบ : กัมพูชา ที่ยังอิงแรงงานเป็นหลัก ไม่มีโครงสร้าง supply chain ครบวงจร
สินค้าอื่นที่เริ่มปะทะ
- จักรยานและอะไหล่ : กัมพูชาได้อานิสงส์จากการย้ายฐานจากเวียดนามหลังเจอภาษีทรัมป์ แต่ไทยยังแข็งแรงด้านแบรนด์ท้องถิ่น
- อาหารทะเลแปรรูป : กัมพูชาเริ่มรุกตลาดนี้ ไทยเป็นเจ้าตลาดเดิม หากราคาสูงจากภาษี ผู้ซื้ออาจหันไปหาคู่แข่ง
กลยุทธ์ผู้ประกอบการไทย: สู้ด้วย “มูลค่า ไม่ใช่ราคา”
- ขยับจาก OEM สู่ตลาด OBM/ODM
- แบรนด์ของตัวเอง = ควบคุมราคาขาย
- รับจ้างพัฒนาแบบให้ลูกค้า เพิ่มโอกาสเจาะตลาดพรีเมียม
- ลงทุนใน ESG และ Traceability
- ลูกค้าอเมริกันมองหา “ความโปร่งใส” ไม่ใช่แค่ราคาถูก
- สินค้าที่มีข้อมูลย้อนกลับได้ จะได้เปรียบในยุคหลังภาษี
- รวมกลุ่ม-ปรับ Supply Chain ให้ Lean
- ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นโดยใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ
- รวมกลุ่มอุตสาหกรรม SMEs เพื่ออำนาจต่อรองวัตถุดิบ
- เร่งเจาะตลาด State-Level
- เมืองใหญ่ของสหรัฐ เช่น แคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ก เท็กซัส มีตลาดเฉพาะที่พร้อมจ่ายแพง
- ใช้ตัวแทนในท้องถิ่นแทนการส่งตรงจากโรงงานเดียว
สนามการค้าอเมริกา กำลังกลายเป็นเวทีวัด “คุณภาพ-กลยุทธ์-ต้นทุน” ของผู้ผลิตเอเชีย กัมพูชาอาจไม่ใช่คู่แข่งรายเล็กอีกต่อไป และ ผู้ประกอบการไทยจะต้องเปลี่ยนจากผู้รับคำสั่ง เป็นผู้นำตลาด ซึ่งหากศึกนี้คือเกมยาว ผู้ที่วางหมากดี จะอยู่ในสมรภูมิได้ยาวนานกว่าใคร