สินค้า “ไทย -กัมพูชา” ปะทะเดือดในตลาดอเมริกา ภาษี 19% ใครได้เปรียบ?

01 ส.ค. 2568 | 06:50 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ส.ค. 2568 | 07:08 น.

การประกาศบังคับใช้มาตรการ “Reciprocal Tariff” หรือ ภาษีศุลกากรตอบโต้แบบเท่าเทียม โดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งตั้งอัตราภาษี 19% เท่ากัน สำหรับสินค้าทั้งจากไทยและกัมพูชา ทำให้การแข่งขันระหว่างสองประเทศในตลาดสหรัฐร้อนระอุยิ่งกว่าสถานการณ์ชายแดนที่ผ่านมา

สนามรบเปลี่ยนจากปืนสู่พรมแดนเศรษฐกิจ ผู้ชนะคือผู้ที่ยืนระยะได้ภายใต้ต้นทุนที่หนักขึ้นจากภาระภาษีที่จะเพิ่มขึ้นอีก 19% คำถามคือ “ใครจะได้เปรียบ?” และ “ผู้ประกอบการไทยจะปรับเกมอย่างไร?”

 

สถานการณ์การค้าปัจจุบัน ข้อมูลจากสหรัฐในปี 2024 (พ.ศ. 2567) ไทยส่งออกไปสหรัฐมูลค่า  63,300 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 17,700 ล้านดอลลาร์ ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ  45,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ขณะที่กัมพูชาส่งออกไปสหรัฐมูลค่า 12,700 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 320 ล้านดอลลาร์ กัมพูชาเกินดุลการค้าสหรัฐ 12,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สินค้า “ไทย -กัมพูชา” ปะทะเดือดในตลาดอเมริกา ภาษี 19%  ใครได้เปรียบ?

แม้ไทยจะส่งออกมากกว่าหลายเท่า แต่สัดส่วนสินค้าที่ “แข่งขันโดยตรง” กับกัมพูชากลับเป็นจุดเปราะบางที่อาจสั่นคลอนจากภาษี 19% โดยกลุ่มสินค้าที่ไทยและกัมพูชาแข่งขันกันอย่างดุเดือดที่สุดในตลาดสหรัฐ ได้แก่

1.เสื้อผ้าและสิ่งทอ

  • กัมพูชา : ส่งออกสินค้ากลุ่มนี้มากที่สุดไปสหรัฐ คิดเป็น เกือบ 60% ของยอดส่งออกรวม
  • ไทย : แม้จะส่งออกน้อยกว่า แต่จับกลุ่มคุณภาพสูง แบรนด์ระดับพรีเมียม

เมื่อเจอภาษี 19% เท่ากัน :

  • ได้เปรียบ : ไทย ที่มีฐานผลิตหลากหลาย ใช้เทคโนโลยีเย็บผ้าอัตโนมัติ
  • เสียเปรียบ : กัมพูชา ที่ต้นทุนแรงงานคือจุดขายหลัก อาจสูญเสียความได้เปรียบด้านราคา

2. รองเท้าและเครื่องหนัง 

  • กัมพูชา : เป็นฐานผลิตให้แบรนด์ดังระดับโลก ส่งออกรองเท้าและกระเป๋ารวม กว่า 3 พันล้านดอลลาร์
  • ไทย : แข่งขันในระดับ niche และบางส่วนเป็น ODM/OEM ระดับกลาง-สูงเมื่อ

    เมื่อภาษีเท่ากัน :
  • ได้เปรียบ : ไทย หากสามารถเร่งพัฒนาแบรนด์หรือขยับไปสู่ “รองเท้าอัจฉริยะ”
  • เสียเปรียบ : กัมพูชา อาจโดนแซงหากตลาดพิจารณามากกว่าราคาต้นทุน เช่น ESG, ความโปร่งใสแรงงาน

3. อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน

  • ไทย : เป็นผู้นำในกลุ่มนี้ ส่งออกมูลค่า 51.3 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะ HDD, คอมพิวเตอร์, ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์
  • กัมพูชา : ยังมีขนาดเล็กและเน้นสายการประกอบเท่านั้น
  • เมื่อภาษีเท่ากัน :
  • ได้เปรียบ : ไทยชัดเจน เพราะ value-added สูง
  • เสียเปรียบ : กัมพูชา ที่ยังอิงแรงงานเป็นหลัก ไม่มีโครงสร้าง supply chain ครบวงจร

สินค้าอื่นที่เริ่มปะทะ

  • จักรยานและอะไหล่ : กัมพูชาได้อานิสงส์จากการย้ายฐานจากเวียดนามหลังเจอภาษีทรัมป์ แต่ไทยยังแข็งแรงด้านแบรนด์ท้องถิ่น
  • อาหารทะเลแปรรูป : กัมพูชาเริ่มรุกตลาดนี้ ไทยเป็นเจ้าตลาดเดิม หากราคาสูงจากภาษี ผู้ซื้ออาจหันไปหาคู่แข่ง

สินค้า “ไทย -กัมพูชา” ปะทะเดือดในตลาดอเมริกา ภาษี 19%  ใครได้เปรียบ?

กลยุทธ์ผู้ประกอบการไทย: สู้ด้วย “มูลค่า ไม่ใช่ราคา”

  1. ขยับจาก OEM สู่ตลาด OBM/ODM
    • แบรนด์ของตัวเอง = ควบคุมราคาขาย
    • รับจ้างพัฒนาแบบให้ลูกค้า เพิ่มโอกาสเจาะตลาดพรีเมียม
  2. ลงทุนใน ESG และ Traceability
    • ลูกค้าอเมริกันมองหา “ความโปร่งใส” ไม่ใช่แค่ราคาถูก
    • สินค้าที่มีข้อมูลย้อนกลับได้ จะได้เปรียบในยุคหลังภาษี
  3. รวมกลุ่ม-ปรับ Supply Chain ให้ Lean
    • ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นโดยใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ
    • รวมกลุ่มอุตสาหกรรม SMEs เพื่ออำนาจต่อรองวัตถุดิบ
  4. เร่งเจาะตลาด State-Level
    • เมืองใหญ่ของสหรัฐ เช่น แคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ก เท็กซัส มีตลาดเฉพาะที่พร้อมจ่ายแพง
    • ใช้ตัวแทนในท้องถิ่นแทนการส่งตรงจากโรงงานเดียว

สนามการค้าอเมริกา กำลังกลายเป็นเวทีวัด “คุณภาพ-กลยุทธ์-ต้นทุน” ของผู้ผลิตเอเชีย กัมพูชาอาจไม่ใช่คู่แข่งรายเล็กอีกต่อไป และ ผู้ประกอบการไทยจะต้องเปลี่ยนจากผู้รับคำสั่ง เป็นผู้นำตลาด ซึ่งหากศึกนี้คือเกมยาว ผู้ที่วางหมากดี จะอยู่ในสมรภูมิได้ยาวนานกว่าใคร