นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการร์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า มูลค่าการค้าระหว่างไทย-กัมพูชาในปี 67 มียอดค้าขายระหว่างกันประมาณ 1.8 แสนล้านบาท
โดยเป็นการค้าขายผ่านชายแดนต่างๆประมาณ 1.75 แสนล้านบาท อีก 5 พันล้านบาทไปทางเครื่องบินและช่องทางอื่น ซึ่งช่วงแรกที่มีการปิดด่านได้ส่งผลกระทบต่อการค้าขายระหว่างกันกรณีมีการปิดด่าน 100% โดยหากหารเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นฝ่ายไทยที่ส่งไปขายประมาณ 400 ล้านบาท เป็นการนำเข้าจากกัมพูชาประมาณ 100 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้มีช่วงหนึ่งที่มีการปิดด่านได้ส่งผลกระทบแบบเต็มๆ โดยที่ผู้ประกอบการของไทยต้องหันไปใช้เส้นทางขนส่งทางเรือ เพื่อให้นำสินค้าไปกระจายได้ทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งช่วยได้บ้าง แต่มีปัญหาเรื่องต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้นหลายเท่าตัว
ขณะที่ช่วงหลังสถานการณ์ผ่อนปรนมีการเปิดด่านเป็นเวลา และมีสินค้าส่วนหนึ่งที่ไปก็กระทบต่อยอดการค้าชายแดนไม่ถึง 500 ล้านบาท แต่ก็เกินว่าครึ่ง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือกระทบซัพพลายเชนนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในกัมพูชา เช่น ปั๊มน้ำมัน ซึ่งต้องนำเข้าน้ำมันจากไทย โดยในช่วงชั่วคราวก็มีการหาแหล่งอื่นมาทดแทน แต่ต้นทุนก็สูงขึ้น
อย่างไรก็ดี หลังจากที่การกระทบกระทั่งรุนแรงขึ้น เกิดการยั่วยุกัน ขณะที่เหตุการณ์ล่าสุดขยายผลจนเกิดการยิงปะทะกันกันก็มาจากการที่กัมพูชาเข้ามาวางระเบิดในเขตไทย ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยไทยตอบโต้ด้วยการฟ้องไปยังองค์กรระหว่างประเทศต่างๆให้รับรู้ และเรียกฑูตมาชี้แจง
แต่วันนี้เหมือนกัมพูชาจงใจยิงจรวดข้ามมาฝั่งไทยจนทำให้ทหาร และประชาขนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่าทางฝั่งกัมพูชามีเจตนาที่จะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น เพื่อหวังผลทางการเมืองใดหรือไม่
“เหมือนกับที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้เกิดความงุนงงว่าเกิดจากสาเหตุใด ด้วยเหตุผลใดก็ไม่รู้ได้ แต่ดูเหมือนว่ากัมพูชามีการทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่การยั่วยุไปจนถึงการวางทุ่นระเบิด เสมือนมีเจตนาให้เกิดการปะทะต่อสู้กัน ซึ่งไม่รู้เหตุผลว่าเกิดจากอะไร ซึ่งแน่นอนว่ากระทบต่อภาคเศรษฐกิจ อย่างชายแดนที่เคยผ่อนปรนก็ต้องกัลมาเข้มงวดอีก“
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ล่าสุดได้มีการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ากระทบต่อเศรษฐกิจการค้าของทั้ง 2 ประเทศ รวมถึงกระทบไปถึงความเป็นอยู่ และความปลอดภัยของประชาชนที่อยู่บริเวณชายแดน ซึ่งต้องมีการอพยพ หรือต้องไปอยู่ที่หลุมหลบภัย ซึ่งส่งผลให้การค้าบริเวณดังกล่าวย่ำแย่ตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านั้น อย่างน้อยบริเวณที่เป็นชายแดนซึ่งมีโบราณสถานที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยว 2 ฝั่งเดินทางไปท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่ตอนนี้ก็ต้องหยุดชะงัก
”เวลานี้นอกจากกระทบความเป็นอยู่ของประชาชน และการค้าขาย การท่องเที่ยวก็ต้องซบเซาตามไปด้วย โดยหากสถานการณ์ยืดเยื้อต้องกระทบไปถึงความปลอดภัย ความเชื่อมั่น ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าหตุผลที่แท้จริงของกัมพูชาคืออะไร เพราะสิ่งที่อ้างมาก่อนหน้านี้ดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก“
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า หากเป็นตามที่เป็นข่าวคือการนำเรื่องส่วนตัวมาขยายกลายเป็นเรื่องข้อพิพาทของประเทศ ยิ่งน่าแปกใจว่าทำไมนำเรื่องส่วนตัวมาขยายผล โดยหวังว่าเรื่องดังกล่าวนี้จะจบโดยเร็ว เพื่อเป็นการรักษาชีวิต และความปลอดภัยของทั้ง 2 ฝั่ง โดยเฉพาะฝั่งไทยที่จะได้รับผลกระทบอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะกระทบเรื่องเศรษฐกิจ ยังมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย
“มูลค่าทางเศรษฐกิจ 500 ล้านบาทอาจจะต้องหายไป รวมถึงจะเพิ่มผลกระทบเรื่องท่องเที่ยวไปด้วย เพราะปกติบริเวณชายแดนจะมีโบราณสถานที่ทั้ง 2 ฝั่งจะมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากก็จะต้องหายไปทั้งหมด อีกทั้งยังขยายผลไปถึงความเสียหายของชีวิต รวมถึงทรัพย์สิน และความปลอดภัย ท้ายที่สุดหากขยายผลเป็นระยะเวลานาน อาจจะกระทบเรื่องความเชื่อมั่นกับนักลงทุนได้”