นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในคืนวันที่ 17 ก.ค.นี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ จะนำข้อเสนอของไทยไปพูดคุยกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR)
ส่วนวางเป้าลดอัตราภาษีตอบโตจาก 36% ลงมาเป็น 18% จริงหรือไม่นั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ไม่อยากให้พูดถึงเป้าดังกล่าว เราจะต้องทำให้ดีที่สุด โดยหากพูดถึงนโยบายภาษีสหรัฐนั้น นอกจากผลกระทบผู้ส่งออกแล้ว ในประเทศยังมีประชาชนส่วนสำคัญ เช่น เกษตรกร ปศุสัตว์ เอสเอ็มอี ที่จะได้รับผลกระทบหากเราแลกเงื่อนไขมากไป
“การเจรจาอย่ามองมิติเดียว ว่าผู้ส่งออกจะได้เท่าใด เราต้องมอง 2 มิติ สิ่งที่เราจะไปลดภาษีลง ก็แลกมาด้วยสิ่งที่เราต้องเปิดมากขึ้น ซึ่งจะมีผู้เดือดร้อนมากขึ้น โจทย์สำคัญคือการสร้างจุดสมดุล ผู้ชนะไม่ใช่คนที่ได้เรทที่ต่ำที่สุด แต่เป็นคนที่สามารถรักษาสมดุลได้มากที่สุด“
ทั้งนี้ หากถามว่าไทยสามารถทำแบบเวียดนามได้หรือไม่ ก็สามารถทำได้ เราสามารถยื่นข้อเสนอการเปิดตลาดนำเข้าภาษี 0% ทั้งหมดได้ (Total access tariff) แน่นอนว่า เราจะได้เรทภาษีที่ต่ำ
แต่หากถามว่าคุ้มหรือไม่ ทีมเจรจาก็ต้องมาช่างน้ำหนัก ระหว่างความสมดุลเหล่านี้ ซึ่งเราฐานะรัฐบาลต้องดูแลคนทั้งประเทศ แน่นอนว่า ภาคส่งออกมีผลต่อจีดีพีสูงกว่า แต่ในประเทศก็มีประชาชนที่มากเช่นเดียวกัน รัฐบาลกำลังดูแลผลกระทบทั้ง 2 ฝั่งให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมที่สุด
ส่วยไทยจะมีการลดอัตราภาษีนำเข้า 0% หลายหมื่นรายการให้กับสหรัฐตามกระแสข่าวหรือไม่นั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า รัฐต้องหาจุดสมดุลที่สุด โดยต้องมีส่วนที่เรากันไว้สำหรับผู้ผลิตสินค้าในประเทศ หากเราเปิดมากเกินไป อาจจะกระทบผู้ประกอบการในประเทศ ยังมีบางส่วนที่เรากันไว้สำหรับเป็นสินค้ายุทธศาสตร์ของประเทศ
สำหรับเวียดนามนั้น เราชอบพูดถึงตัวเลขภาษีที่ 20% แต่จริงแล้วเวียดนามมี 2 เรท คือ 20% และ 40% โดยใช้เกณฑ์สัดส่วนสินค้าที่มีส่วนประกอบในประเทศหรือภูมิภาค (Regional Value Content: RVC) เป็นตัวแบ่ง โดยหากสินค้ามีสัดส่วน RVC สูงก็จะได้อัตราภาษีที่ 20% และ หากสินค้ามี RVC ต่ำก็จะได้อัตราภาษีที่ 40%
“ตอนนี้เวียดนามโดนอัตราภาษี 40% มากกว่า 20% เพราะเวียดนามเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีการผลิตในประเทศไม่สูง มีการนำเข้ามาเพิ่มมูลค่าในประเทศก่อนส่งออกไปมากกว่า ดังนั้นหากเทียบกับไทยที่ผลิตในประเทศและภูมิภาคสูง ซึ่งหากขีดเส้นที่อัตราเท่ากันไทยจะได้เปรียบกว่า ดังนั้นก็อยู่ที่การเจรจา”