‘พิชัย’ คาดสหรัฐเพิ่ม Local Content เป็น 80% กันสินค้าสวมสิทธิ์

14 ก.ค. 2568 | 06:13 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ก.ค. 2568 | 06:20 น.

‘พิชัย’ ย้ำวางเกณฑ์เจรจาสหรัฐ ยึดผลประโยชน์ร่วมกัน คาดโดนเพิ่มสัดส่วน Local Content สูงถึง 80% กันสินค้าสวมสิทธิ์ เร่งปรับตัวแก้ปัญหา 3 กลุ่มในประเทศ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงาน Roundtable : The Art of The (Re)Deal ในหัวข้อ “กรอบเจรจา และการรับมือผลกระทบภาษีทรัมป์” ว่า จากนโยบายภาษีสหรัฐอเมริกานั้น มีความต้องการหลักคือ "ชัยชนะที่เห็นผลเร็วในระยะสั้น" ซึ่งมองว่ามาจากการแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง วิธีการที่เห็นได้ชัดคือการ "เพิ่มรายได้ภาครัฐ" ผ่านการลดภาษีในบางช่วงและการเพิ่มภาษีในส่วนอื่นๆ ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลการค้าได้ในที่สุด

นอกจากนี้ สหรัฐฯ ต้องการ "เพิ่มขนาดของ Market Access" สำหรับสินค้าของตนเอง ซึ่งหมายถึงการเปิดตลาดให้กว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณหรือมูลค่าของสินค้าที่สามารถเข้าถึงตลาดได้ และยังรวมถึงการลด "Non-Tariff Barriers" (มาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี) ที่ซับซ้อนและมีรายละเอียดมาก

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

สำหรับข้อเสนอของสหรัฐฯ ในครั้งนี้แตกต่างจากการเจรจาในอดีต เนื่องจากเป็น "การเสนอแบบฝ่ายเดียว (US Preferential Treatment) ที่ต้องการให้ประเทศคู่ค้าตอบรับ หากไม่สามารถตกลงกันได้ สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือการเผชิญกับ "กำแพงภาษีที่สูง" นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับ "Non-Tariff Barriers" อื่นๆ ที่ซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ

ขณะที่สภาพเศรษฐกิจไทยนั้น พึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมาก ในอดีตเคยสูงถึง 70% และปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 58-60% โดยการส่งออกไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่มีมูลค่าเพิ่มไม่สูงนัก และส่วนใหญ่เป็นการพึ่งพาอุตสาหกรรมภายในประเทศ

นายพิชัย กล่าวว่า การต่อต้านไม่ใช่ทางออก ไทยจำเป็นต้อง "เจรจา" ซึ่งรวมถึงการลงนามในข้อตกลง "Non-Disclosure Agreement" เปิดเผยข้อมูลบางส่วนไม่ได้ แต่ในหลักการนั้น เราพิจารณาประกอบกับเรื่องที่อาจส่งผลกระทบต่อคู่ค้าอื่นๆ และความสัมพันธ์ในภูมิภาค ยืนยันว่า เรายังวางเกณฑ์ในการเจรจา คือ รักษาผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน รักษาความสมดุล ยอมรับว่ายาก แต่ต้องทำให้ได้

สำหรับประเด็นที่สำคัญและซับซ้อนที่สุด คือ  "Transshipment" หรือการสวมสิทธิ์ และการกำหนด "Local Content" โดยในอดีต Local Content มักอยู่ที่ประมาณ 40% แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นมาก อาจถึง 60-80% ซึ่งอาจจะต้องกำหนดนิยามใหม่ อาจส่งผลกระทบต่อประเทศที่เริ่มต้นฐานการผลิตใหม่ๆ ที่มี Local Content ต่ำ

สำหรับประเทศที่ส่งออกได้ดุลการค้าสูงอย่างเวียดนาม มี Local Content ที่ต่ำ ซึ่งอาจถูกกำหนดภาษี Transshipment สูง (เช่น 20-40%) หากไทยมี Local Content ต่ำในบางอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมที่เข้ามาในช่วง 3-4 ปีหลัง อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ตระหนักถึงปัญหานี้ และส่งเสริมให้ผู้ลงทุนต่างชาติเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เรียนรู้และเพิ่ม Local Content มากขึ้น ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย

‘พิชัย’ คาดสหรัฐเพิ่ม Local Content เป็น 80% กันสินค้าสวมสิทธิ์

นอกจากนี้ เราจะเปิดตลาดสำหรับสินค้าที่สหรัฐฯ ต้องการขายและไทยต้องการซื้อ เช่น สินค้าเกษตรแปรรูป โดยไทยมีการนำเข้าวัตถุดิบมาแปรรูปเป็นอาหารอยู่แล้ว ขณะที่ในด้านพลังงานนั้น สหรัฐฯ มีแหล่งพลังงานสำรองจำนวนมาก (ก๊าซธรรมชาติ, น้ำมันจาก Shale Oil) ในราคาที่ต่ำกว่าตลาดโลกมาก ไทยสามารถพิจารณาการซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ และกำลังพิจารณาว่าเราสามารถไปลงทุนภาคพลังงานที่สหรัฐได้ด้วยหรือไม่

ส่วนอีกแนวทางหนึ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ เพื่อให้เกิด "Gain Again Gain" เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน คือ การคิดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐของไทย โดยสินค้าส่วนใหญ่ของไทยที่ส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าผ่าน FTA อยู่ที่ 0% อยู่แล้ว ดังนั้น การลดภาษีสำหรับสินค้าเหล่านี้จึงไม่ยากนัก แต่ต้องพิจารณาสินค้าที่ไทยไม่สามารถแข่งขันได้ หรือสินค้าที่ผลิตในไทยแต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ

“เราจะต้องรักษาตลาดประเทศไทยได้ ข้อเสนอนี้ไม่ได้ให้ประเทศคู่ค้าทั่วไป เราให้เฉพาะสหรัฐ และจะพัฒนาเกษตรกร สร้างขีดความสามารถการแข่งขัน เป็นโอกาสในการปรับตัว เร่งแก้ไขปัญหาในประเทศ”

สำหรับเรื่องที่ต้องเร่งปรับตัวนั้น ได้แก่

  • ภาคเกษตรกร ปรับดีมานด์ซัพพลาย พันธุ์พืช วิธีการเพาะปลูก แก้ปัญหาน้ำแล้ง และเพิ่มสัดส่วน Local content เปิดตลาดใหม่และลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง
  • ภาคการท่องเที่ยว จะต้องปฏิรูปขนานใหญ่ เป็นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ตอบสนองพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งปีนี้นักท่องเที่ยวหายไปจำนวนมาก
  • Digital Economy จะต้องเร่งพัฒนาและใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในทุกภาคส่วนการผลิตให้จริงจังยิ่งขึ้น