ส.อ.ท.ห่วงไทยถูกบีบลดภาษีนำเข้าสหรัฐเหลือ 0% ตามอินโดฯ เวียดนาม

16 ก.ค. 2568 | 06:38 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ค. 2568 | 06:38 น.

ส.อ.ท.ยอมรับเกิดความกังวลห่วงไทยถูกบีบลดภาษีนำเข้าสหรัฐเหลือ 0% ตามอินโดนีเซียและเวียดนาม ระบุให้ได้แค่เฉพาะบางสินค้าเท่านั้น

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าโลกที่กำลังเผชิญกับการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะประเด็นเรื่องภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) และกรณีที่อินโดนีเซีย และเวียดนาม ยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐลงเหลือ 0% ว่าได้สร้างความกังวลให้กับภาคเอกชนไทยอย่างมาก

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าเอกชนมีความกังวลเช่นกันในเรื่องดังกล่าวนี้ ว่าในอนาคตไทยอาจถูกบีบให้ลดภาษีลงเหลือ 0% เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเชื่อว่านายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็คงกังวลเช่นกัน แม้ว่าอินโดนีเซียจะได้ดุลการค้ากับสหรัฐน้อยกว่าไทย ซึ่งไทยได้ดุลประมาณ 45,000 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา ถือว่ามากกว่าอินโดนีเซีย 2.5 เท่า แต่ก็ยังสงสัยว่าทำไมอินโดนีเซียถึงยอมลดภาษีให้สหรัฐลงทั้งหมด

โดยสถานการณ์ดังกล่าวนี้เป็นไปตามที่สหรัฐกล่าวเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเอกชนก็กำลังรอฟังข่าวว่าทางอินโดนีเซียจะออกมาชี้แจงในเรื่องนี้เหมือนเวียดนามหรือไม่ จึงต้องจับตาดู ดังนั้น ยอมรับว่า หากไทยต้องโดนสูตรคิดภาษีแบบอินโดนีเซีย ก็ถือเป็นประเด็นที่กังวลเพิ่มมากขึ้น แต่ก็เข้าใจว่าอยู่ในทีมเจรจา หากเป็นไปอย่างนั้นอาจเป็นโจทย์ที่ยากกว่าเรื่องของ Local Content แต่เมื่อรู้โจทย์ก็คงแก้ได้ แม้ว่าจะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ทุกคนก็เป็นกำลังใจ เพราะอินโดนีเซียได้ดุลการค้าน้อยกว่าไทย แต่ยอมขนาดนั้นก็สงสัย

ส.อ.ท.ห่วงไทยถูกบีบลดภาษีนำเข้าสหรัฐเหลือ 0% ตามอินโดฯ เวียดนาม

อย่างไรก็ดี หากถามว่าการที่อินโดนีเซียได้ลดภาษีนำเข้าศุลกากรสหรัฐลง 19% จากเดิม 32% ทำให้เกิดการเปรียบเทียบและสร้างความหนักใจหรือไม่นั้น อาจจะสร้างความหนักใจให้กับทีมไทยแลนด์มากพอสมควร เพราะแม้ว่าไทยจะได้ดุลการค้าเยอะกว่าอินโดนีเซีย แต่อินโดนีเซียมีการพึ่งพิงตลาดสหรัฐมากกว่าไทยอยู่ที่ 30% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับเวียดนาม ในขณะที่ไทยส่งออกไปสหรัฐประมาณ 18%จึงเชื่อว่าทีมเจรจาของไทยมีความรู้ความสามารถและทักษะที่ดีเยี่ยม 

อย่างไรก็ตาม จากการหารือกับภาคเอกชนทั้ง 47 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้ส่งข้อเสนอแนะและข้อมูลให้กับทีมรัฐบาลไปหมดแล้ว และเชื่อว่าจะเป็นข้อมูลที่ดีและสนับสนุนให้กับทีมเจรจาไทยแลนด์ได้อย่างดี แต่ในส่วนของการที่ไทยจะเทหมดหน้าตักยอมลดภาษีนำเข้า 0% หรือไม่นั้น ส.อ.ท. ยืนยันว่า ยอมแค่สหรัฐ 0% ประเทศเดียว และเป็นแค่บางรายการเท่านั้น โดยสินค้าที่ยอมลดภาษี 0% เช่น ผลิตภัณฑ์ยา เพราะสหรัฐมีความสามารถที่จะผลิตยาที่มีคุณภาพทได้อยู่แล้ว ส่วนกลุ่มสินค้าที่ไทยไม่ควรลดภาษีนำเข้าเป็น 0% คือ กลุ่มเคมีภัณฑ์ที่มีการลงทุนสูงและอยู่ในช่วงทรานส์ซิชั่น เป็นต้น

สำหรับข้อเสนอแนะเพื่อรับมือโดยเฉพาะมาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันคือเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและซอฟต์โลน โดยการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท โดยมาตรการซอฟต์โลนต้องการให้เห็นในวันนี้หรือพรุ่งนี้เลย ซึ่งมาตรการนี้จะต้องมีความชัดเจนและเข้าสนับสนุนให้ตรงจุด 

"เรื่องเงินเยียวยานี้มี ทางคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยสมาคมธนาคารไทย ได้ยืนยันว่ามีสภาพคล่องเหลือเพียงพอ แต่ต้องดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติธนาคาร ด้วยความโชคดีที่เศรษฐกิจของไทยตอนนี้ยังมีธนาคารที่แข็งแกร่ง สามารถค้ำจุนได้ และธนาคารจะพยายามปล่อยสินเชื่อ รวมถึงรัฐบาลจะปล่อยอย่างรอบคอบและรวดเร็วที่สุดในวันนี้"

นายนาวา กล่าวถึงกรณีสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่เป็นประเด็นหลักในการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงว่า เอกชนต้องการอัตราภาษีที่ต่ำที่สุด แต่ไม่ขอตั้งเป็นตัวเลขเพื่อไม่ให้ไปกดดันทีมเจรจา แต่มี Benchmark อย่างมาเลเซียและอินโดนีเซียที่ไทยต้องการให้ได้เท่า ๆ ประเทศคู่แข่ง เพราะเป็นคู่แข่งและเพื่อนบ้านกัน ที่ไม่นับสปป.ลาว และเมียนมา เป็นต้น

สำหรับมาตการการขนส่งสินค้าผ่านประเทศอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนั้น ขณะนี้ ทุกทบวง/กระทรวงตระหนักดี โดย ส.อ.ท. ได้มีการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องการออกใบ C/O (Certificate of Origin) และการออกใบอนุญาตทั่วไปเพื่อความเข้มงวด ดังนั้น น่าจะช่วยลดการส่งออกไปสหรัฐได้ ถือเป็นความเข้มงวดที่ทั้งกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังรับทราบดี ดังนั้น จึงน่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น ในเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องของกระทรวงพาณิชย์อย่างเดียว