กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตลาดการค้าในประเทศอินเดียที่น่าสนใจ โดยระบุว่า ปัจจุบันอินเดียได้ตั้งเป้าหมายด้านอุตสาหกรรมชั้นสูง 9 ด้าน ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศ 7.38 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ E-commerce เซมิคอนดักเตอร์ การให้บริการระบบคลาวด์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อวกาศ ฟิชชันนิวเคลียร์ และหุ่นยนต์
ขณะที่ประเทศไทยสามารถส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ในแต่ละปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกว่า 80% ของการส่งออกอยู่ในกลุ่มแผงวงจรไฟฟ้า (Integrated Circuits) ซึ่งมีตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และสิงคโปร์ เพื่อต่อยอดศักยภาพดังกล่าว
รัฐบาลไทยควรส่งเสริมการลงทุนจากผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไทยให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนในระดับโลก
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยกระดับบทบาทธุรกิจ จัดหาวัตถุดิบและชิ้นส่วนเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ให้กับอินเดียได้ โดยควรมุ่งเน้นการจัดหาวัสดุเซมิคอนดักเตอร์ที่มีความจำเพาะ ตัวเชื่อมต่อ อุปกรณ์ทดสอบ ชิ้นส่วนพาสซีฟ และส่วนประกอบยานยนต์ไฟฟ้า ควบคู่กับการสร้างความร่วมมือผ่านการทำข้อตกลงถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบหุ่นยนต์ เซนเซอร์อัจฉริยะ และระบบอัตโนมัติ กับภาคเอกชนอินเดียที่ต้องการเร่งเสริมสมรรถนะ
นอกจากนี้ สามารถพิจารณาจัดตั้งคลังสินค้า หน่วยประกอบ หรือความร่วมมือด้านวิจัยในอินเดียเพื่อใช้ประโยชน์จากมาตรการจูงใจ เช่น โครงการ PLI ของอินเดีย (ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี) รวมถึงแสวงหาโอกาสร่วมลงทุนในบริการด้าน AI คลาวด์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ในธุรกิตฟินเทค อีคอมเมิร์ซ และการผลิต พร้อมทั้งใช้ประโยชร์จากการเข้าร่วมเวทีแสดงสินค้าเทคโนโลยีในอินเดียเพื่อสร้างเครือข่ายกับผู้ซื้อ ผู้ผลิต และผู้รวมระบบรายสำคัญของอินเดีย
สำหรับธุรกิจอินเดียใน 9 ภาคส่วนที่มีศักยภาพ คาดว่าจะส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีพลวัตในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของประเทศ โดยบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ให้ข้อมูลว่า ธุรกิจทั้ง 9 กลุ่มจะสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศประมาณ 588,000 - 738,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 หรือเติบโตมากกว่า 3.5 เท่าจากปี 2023 ที่มีรายได้รวมระหว่าง 164,000 ถึง 206,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากรายงานของบริษัท McKinsey คาดว่าธุรกิจ E-commerce จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 4 เท่าจาก 60–70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 เป็น 240–300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 โดยคิดเป็นสัดส่วน 7–9% ของยอดค้าปลีกทั้งหมดในปี 2022–23 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 15–17% ภายในปี 2030
ทั้งนี้ ธุรกิจ E-commerce จะคิดเป็นสัดส่วน 40% ของรายได้รวมจากทั้ง 9 ภาคส่วนธุรกิจ สำหรับธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า จากมูลค่า 40–45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 เป็น 100–120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2030
พร้อมกันนี้ ธุรกิจอื่นๆ ยังมีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด เช่น รายได้จากซอฟต์แวร์ AI (emerging AI software) คาดว่าจะเติบโต 5–8 เท่าในช่วง 7 ปีข้างหน้า โดยมีบริษัทอินเดียกว่า 77,000 แห่งที่เริ่มนำเทคโนโลยี Copilot มาใช้
ขณะเดียวกัน การใช้ผู้ช่วย AI อัจฉริยะ (agentic AI) ก็กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันทำให้อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI เร่งระบบให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติที่เร็วขึ้น ในขณะเดียวกัน รายได้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคลาวด์ (ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI) คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4–5 เท่า ระหว่างปี 2023 ถึง 2030 จนแตะระดับ 70–80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งกำลังเป็นธุรกิจที่น่าจับตามองอย่างมาก กำลังเข้าสู่ช่วงขยายตัว โดยคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 6–8 เท่า แตะระดับ 40–60 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในสิ้นทศวรรษ อีกทั้งภาคพลังงานนิวเคลียร์แบบฟิชชันมีแนวโน้มสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 4–5 เท่า
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมอวกาศ รัฐบาลอินเดียกำลังผลักดันอย่างเต็มที่ ยังมีแนวโน้มที่จะสร้าง รายได้เพิ่มขึ้นในระดับเดียวกันภายในปี 2030 โดยทั้งสองภาคส่วนนี้จำเป็นต้องลงทุนด้าน R&D ในระดับสูง โดยเฉพาะฟิชชันนิวเคลียร์ที่ใช้สัดส่วนงบ R&D คิดเป็น 8–10% ของรายได้รวม และภาคอุตสาหกรรมอวกาศที่จะมีค่าใช้จ่ายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมทั่วไปที่ประมาณ 2%