แรงงาน 12 กลุ่ม ผวา! พิษ "ภาษีทรัมป์" เสี่ยงทุบนายจ้างเจ๊ง

08 ก.ค. 2568 | 23:01 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.ค. 2568 | 01:36 น.

“ธนิต โสรัตน์” ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและแรงงาน หาก “โดนัลด์ ทรัมป์” คงอัตราภาษีนำเข้าไทยร้อยละ 36 สูงสุดในอาเซียน จับตาลูกจ้าง 12 กลุ่มอุตสาหกรรม 20 ล้านคน กระทบหนักนายจ้างแข่งขันไม่ได้

ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยบทความพิเศษ “ทรัมป์” คงอัตราภาษีนำเข้าไทยร้อยละ 36 สูงสุดในอาเซียน ผลกระทบทางเศรษฐกิจและแรงงาน มีเนื้อหาน่าสนใจว่า เมื่อคืนวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศอัตราภาษีนำเข้ากับประเทศ ได้เปรียบดุลการค้าและไม่เอื้อเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์หรือ “Reciprocal Tariff” ซึ่งไทยติดอยู่ใน  1 ใน 14 ประเทศ ซึ่งติดโผลชุดแรกที่ได้รับเอกสาร อัตราเรียกเก็บของไทยอยู่ที่ร้อยละ 36 

หากไม่นับประเทศลาว เมียนมา กัมพูชา เป็นอัตราสูงสุดในอาเซียนและใน 14 ประเทศดังกล่าว การออกเอกสารแจ้งอัตราภาษีหลังจากที่สหรัฐฯ ผ่อนปรนอัตราร้อยละ 10 ซึ่งครบกำหนด 90 วัน เป็นคำถามว่าทำไมประเทศไทยจึงถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บอัตราภาษีสูงกว่าทุกประเทศ 

 

ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย

 

ในเอกสารหรือจดหมายที่ทรัมป์ส่งไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้ลงนามด้วยตัวเองมีข้อความบางส่วนระบุว่า “เป็นการนำอำนาจอธิบไตยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กลับคืนมาด้วยการจัดการกับความสัมพันธ์ทางการค้าที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งคุกคามเศรษฐกิจของประเทศตลอดจนความมั่นคงของชาติ” 

The America First เห็นผล

จะเห็นได้ว่าข้อความไม่ได้แสดงอาการประนีประนอมทางการทูตแต่อย่างใด มาตรการภาษี “Reciprocal Tariff” คือผลประโยชน์ของสหรัฐฯ สำคัญที่สุด เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือในการผลักดันนโยบาย “The America First” เป็นวลีหรือแนวคิดที่เน้นย้ำถึงแนวคิดที่ว่าผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาควรมาก่อน แนวคิดนี้มีความหมายถึงชาตินิยมอเมริกัน เน้นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและเกี่ยวข้องกับนโยบายการค้าแบบคุ้มครอง

ที่พึงเข้าใจการเจรจากับทีมงานของปธน.ทรัมป์ ไม่ใช่ลักษณะการเจรจาต่อรองแบบมีแผนในลักษณะ “Win-Win Situation Negotiate” คือต่างคนต่างได้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่อกัน แต่การเจรจากับสหรัฐฯ ด้วยปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เหนือกว่าเขาไม่ต้องการต่อรองแต่เพียงให้เราไปบอกว่าจะให้อะไรมากที่สุดและเขาพอใจไหม คือคู่เจรจามีแต่ Lost & Loss 

ตอนที่ทีมไทยแลนด์ก่อนบินไปเจรจากับทรัมป์บอกว่า ต้องการผลแบบ Win-Win ก็สังหรณ์ใจแล้วว่าการเจรจาจบคงไม่สวย

นอกจากนี้อัตราภาษีที่ไทยถูกเก็บร้อยละ 36 ยังถูกทรัมป์ขู่ว่าหากไทยขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราใดก็จะจัดเก็บภาษีเพิ่มเข้าไปอีกในสัดส่วนที่เท่ากัน แต่ยังให้ความหวังว่าอัตราภาษีดังกล่าวสามารถลดได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข แต่ต้องจบก่อนเส้นตาย (1 สิงหาคม 2568) 

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ-แรงงาน 

ฉากทัศน์ไทยเป็นประเทศพึ่งพาการส่งออกมีสัดส่วนใน GDP ในประมาณร้อยละ 57 ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสัดส่วนอันดับหนึ่ง ปีพ.ศ. 2567 มีสัดส่วนร้อยละ 18.30 อัตราการขยายตัวร้อยละ 13.66 ในช่วง 5 เดือนแรกปีพ.ศ. 2568 (ม.ค. - พ.ค.) สัดส่วนเพิ่มเป็นร้อยละ 19.61 อัตราการขยายตัวกระโดดไปถึงร้อยละ 27.2 มูลค่า 27,098.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับปีที่แล้ว 5,795.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 

เป็นผลจากการเร่งส่งออกให้ทันดีเดย์ ซึ่งขยายเวลา 90 วันจะจัดเก็บอัตราภาษีใหม่ ซึ่งผู้นำเข้าสหรัฐฯ คาดการณ์ไม่ได้ จึงเร่งการนำเข้า อัตราภาษีร้อยละ 36 ที่ไทยถูกเรียกเก็บเกินความคาดหมายและเป็น “Worst-Case Scenario” เพราะคิดว่าอย่างเก่งอาจต่อรองได้เหลือร้อยละ 20 – 25 

ต้องเข้าใจว่าภาคส่งออกของไทยเป็นหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ โซ่อุปทานมีขนาดใหญ่และเชื่อมโยงกับทุกภาคส่วน อาทิเช่น อุตสาหกรรมในประเทศที่ขายให้กับผู้ส่งออก ได้แก่ วัตถุดิบ สินค้ากึ่งสำเร็จรูป อะไหล่เครื่องจักร

วัสดุสิ้นเปลืองในการผลิต ภาคการส่งออกยังเกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการ เช่น โลจิสติกส์เกี่ยวข้องกับธุรกิจด้านเดินเรือ เครื่องบิน รถบรรทุก ศูนย์กระจายสินค้าตลอดจนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์ เช่น กล่อง ลัง พาเลท 

นอกจากนี้ภาคส่งออกยังเชื่อมโยง อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรตลอดจนผลิตภัณฑ์จากภาคเกษตรกรรม เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ประมง ปศุสัตว์ 

 

แรงงาน 12 กลุ่ม ผวา! พิษ "ภาษีทรัมป์" เสี่ยงทุบนายจ้างเจ๊ง

 

แรงงาน 20 ล้านคน ใน 13 กลุ่มกระทบหนัก

จากที่กล่าวภาคการส่งออกและโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องมีบทบาทสำคัญต่อการจ้างงาน โดยมีการประมาณการเบื้องต้นว่ามีแรงงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 18 – 20 ล้านคน หากอัตราภาษีนำเข้าไปตลาดสหรัฐฯ ที่ไทยถูกเรียกเก็บสูงกว่าประเทศคู่แข่งสูงกว่าเวียดนามและอินโดนีเซีย จะมีผลอย่างมากต่อการลดลง ทั้งเชิงปริมาณและมูลค่า 

ผลที่ตามมาคือ การลดกำลังการผลิต ซึ่งจะมีผลต่อแรงงานส่วนเกินทั้งทางตรงและทางอ้อมที่อาจต้องสูญเสียตำแหน่งงาน หรืออาชีพ ผลกระทบขึ้นอยู่กับว่าแรงงานเหล่านั้น ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมหรือภาคบริการที่ต้องพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ เป็นสัดส่วนเท่าใดยิ่งสัดส่วนมากผลกระทบก็ยิ่งสูง ตัวอย่างภาคส่วนที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ เช่น 

  1. เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 
  2. ผลิตภัณฑ์ยาง 
  3. อัญมณีและเครื่องประดับ 
  4. เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 
  5. เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์และส่วนประกอบอื่น ๆ
  6. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 
  7. รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 
  8. อุปกรณ์กึ่งตัวนำ-ทรานซิสเตอร์ 
  9. เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก 
  10. ผลิตภัณฑ์พลาสติก 
  11. อาหารสัตว์ 
  12. อาหารทะเล/ผลไม้กระป๋องและแปรรูป
  13. และอื่น ๆ 

ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกใหญ่สุดของไทย ผลจากที่ปธน.ทรัมป์ คงภาษีนำเข้า “Reciprocal Tariff” ในอัตราร้อยละ 36 สูงสุดในอาเซียน 

 

แรงงาน 12 กลุ่ม ผวา! พิษ "ภาษีทรัมป์" เสี่ยงทุบนายจ้างเจ๊ง

 

วัดใจดีลใหม่ หวังเป็นข่าวดี

หากไม่สามารถมีข้อเสนอหรือดีลใหม่ ๆ ให้ปธน.ทรัมป์สนใจและลดภาษีให้ใกล้เคียงหรือเท่ากับเวียดนาม จะส่งผลกระทบกับภาคส่วนเศรษฐกิจค่อนข้างมาก เนื่องจากภาคส่งออกมีโซ่อุปทานขนาดใหญ่และเชื่อมโยงกับทุกภาคส่วน อัตราภาษีในระดับนี้สูงกว่าประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะประเทศเวียดนามซึ่งอัตราภาษีอยู่ที่ร้อยละ 20 ส่งผลทำให้ขีดความสามารถแข่งขันด้านราคาลดลงหรือแข่งไม่ได้ 

ภายใต้ภาวะเช่นนี้ ผู้นำเข้าสหรัฐฯ จะมีการปรับพอร์ตแหล่งนำเข้าใหม่ ซึ่งคาดว่าคำสั่งซื้อจะเริ่มลดลงในช่วงเดือนกันยายน อุตสาหกรรมและภาคบริการอย่างน้อย 1 ใน 5 จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง การผลิตที่ลดลงมีผลต่อการใช้แรงงานลดลงแต่จำนวนเท่าใดในขณะนี้ยังประเมินไม่ได้ 

ภาคแรงงานที่อยู่ในภาคส่งออกและโซ่อุปทานที่ได้รับผลกระทบ เป็นทั้งผู้ผลิต ขณะเดียวกันเป็นผู้บริโภค ครัวเรือนแรงงาน จึงเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดของประเทศ ส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยที่จะลดลงกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงภาคค้าส่ง-ค้าปลีกและการซื้อสินค้าประเภทถาวร เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ยานพาหนะหรืออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะได้รับผลกระทบตามมาอย่างแน่นอน 

ยอดขายที่หดตัวนำมาซึ่งปัญหาสภาพคล่องในภาคธุรกิจ การเลิกจ้างต่อยอดไปถึงหนี้เสีย หรือ NPL ของสถาบันการเงิน ทีมเจรจา หรือ “Thailand Team” คงต้องมีงานหนักในช่วงเวลาที่เหลือไม่มาก อย่าเพียงบอกวลีว่า “เสนอไปแล้ว” แต่ไม่รู้ว่าทรัมป์จะดูหรือไม่ ดูจำเป็นต้องมีการล็อบบี้ให้ทรัมป์มีการลดภาษีลงมาให้ใกล้เคียงกับเวียดนาม แต่วิธีการอย่างไรคงไม่ง่าย 

 

แรงงาน 12 กลุ่ม ผวา! พิษ "ภาษีทรัมป์" เสี่ยงทุบนายจ้างเจ๊ง

 

ในเวลาเช่นนี้ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องประเมินว่า เศรษฐกิจไทยภายใต้ภาษีโหดแบบนี้ จะรับมืออย่างไรและประเมินว่าหากส่งออกไปสหรัฐฯ หายไปครึ่งหนึ่ง ผลกระทบจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับภาคแรงงาน 

สำนักพยากรณ์เศรษฐกิจภาคเอกชนประเมินว่า หากภาษีของทรัมป์อยู่ในระดับนี้ เศรษฐกิจอาจขยายตัวได้ร้อยละ 1 หรือต่ำกว่า ในระยะกลางการลงทุนจะลดลงยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจที่อ่อนแอเป็นทุนอยู่แล้ว 

ขณะที่รัฐบาลอยู่ในช่วงขาดความเชื่อมั่นและขาดเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้ความทุ่มเทในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอ่อนแอ ภายใต้สภาวการณ์ที่ไม่เอื้อและมีความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของธุรกิจ ภาคเอกชนทั้งนายจ้างและลูกจ้างคงต้องจับมือกันจะเดินกันไปอย่างไรคงต้องรับมือกันให้ดี บอกได้เลยว่า รอบนี้หนัก