นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงมุมมองหลังทีมเจรจาไทยแลนด์ออกมาเปิดเผยความคืบหน้าการเจรจากับทีม USTR ของสหรัฐ ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่ไทยไปเจรจากับสหรัฐฯ เป็นการเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรก ดังนั้น การที่ผลการเจรจารอบแรกออกมาแล้วพบว่า ไทยจะต้องกลับมาทำการบ้านใหม่ ต้องปรับข้อเสนอใหม่ให้ตรงตามความต้องการของสหรัฐฯ จึงคิดว่ายังเป็นข้อสรุปที่ยังเป็นกลางในเชิงบวก
“คิดว่า เป็นข้อสรุปที่ยังเป็นกลางและเป็นกลางในเชิงกึ่งบวก ไม่ใช่ทางด้านทางทีมไทยแลนด์บอกว่า การเจรจาไม่สำเร็จ ทางสหรัฐฯนั้นไม่รับเงื่อนไขเราเลย คิดว่าตรงนี้จะไม่มีโอกาสนะครับ“
ทั้งนี้เงื่อนไขที่จะตอบสหรัฐฯกลับไปหลังจากนี้ สามารถทำได้หลายรูปแบบ คือ การเจรจาครั้งแรกมีการพบปะตัวต่อตัว แต่การเจรจาในรอบต่อๆไป สามารถใช้เทเลคอนเฟอร์เรนซ์ (Teleconference) ได้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไทยยังมีเวลาเหลือในการเจรจากับสหรัฐฯ อีกประมาณ 2-3 วัน ซึ่งขั้นตอนการเจรจาผ่านเทเลคอนเฟอร์เรนซ์ในการกลับมาทำข้อเสนอต่างๆใหม่ คิดว่าเป็นโอกาสที่เป็นความคืบหน้าได้
นอกจากนี้ การที่ทรัมป์ ออกมาประกาศว่าจะไม่มีการขยายระยะเวลาการเก็บภาษีนำเข้าออกไปอีก 90 วัน จากที่จะครบกำหนดวันที่ 9 ก.ค. นี้นั้น คิดว่า เงื่อนไขดังกล่าวจะถูกนำไปใช้กับประเทศที่ยังไม่ได้เจรจากับสหรัฐฯ แต่ประเทศที่ได้เจรจาแล้ว อาจจะมีเงื่อนไขอื่น เช่น อาจให้ไทยถูกเก็บภาษีที่ 10% ไปก่อน แต่ถ้าเจรจาไม่สำเร็จก็อาจจะให้กลับไปเป็นการใช้ที่ 36%
ส่วนโอกาสที่สหรัฐฯ โดยสก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ บอกว่า น่าจะมี 100 กว่าประเทศที่ถูกเก็บภาษี 10% ซึ่งคิดว่าเงื่อนไขตรงนั้น มีความคืบหน้าในการเจรจา เหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณว่าไม่น่าจะมีการจัดเก็บภาษีที่ต่ำกว่า 10% ของหลายๆประเทศ เพราะฉะนั้น ถือเป็นจุดที่ไทยน่าจะถูกจัดเก็บภาษีจากสหรัฐฯที่ 10% ไปก่อน และขยายระยะเวลาการเจรจาต่อรอง เพื่อให้ได้ผลสรุปในที่สุด
“ถ้าไทย ดำเนินการเจรจาต่อรองไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ สหรัฐฯอาจประกาศว่าอย่างเป็นทางการว่าไทยจะเสียภาษีที่เท่าไหร่ หรือ เราอาจจะเจอสถานการณ์ที่ถูกจัดเก็บภาษีที่ 36% แล้วสหรัฐฯไม่เจรจาอีก ซึ่งตรงส่วนนี้ยังไม่มีข้อมูลเด่นชัด”
อย่างไรก็ตาม ทางทีมไทยแลนด์ยังให้ความหวังกับสังคมไทยถึงความคืบหน้าผลการเจรจาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ซึ่งการเจรจาในครั้งแรกแล้วจะได้ผลบรรลุทันทีเป็นไปได้ยาก อย่างจีนเจรจากับสหรัฐฯอย่างเป็นทางการหลายครั้ง แต่ยังไม่สำเร็จ ดังนั้น การที่ไทยได้เจรจาแล้วและได้มีความหวังกลับมาให้ทำข้อเสนอเพิ่มเติม ส่วนตัวคิดว่า ไทยยังมีโอกาส ซึ่งยังต้องติดตามกันต่อไปว่า หลังวันที่ 9 ก.ค.นี้ ไทยจะถูกจัดเก็บภาษีที่เท่าไหร่
เมื่อถามย้ำถึงผลกระทบหากไทยถูกเก็บภาษีที่ 36% นั้น นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สินค้าไทยราคาจะสูงขึ้นเมื่อรวมกับภาษีอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ผู้ประกอบการจะแบกรับภาระต้นทุนสูงถึง 36%
ทั้งนี้ กรณีหากไทยถูกเก็บภาษีที่ 10% ร่วมกับ เบสไลน์ภาษี (Baseline Tariff) อีก 10% รวมเป็น 20% ก็จะเป็นเรื่องง่ายต่อผู้ประกอบการในการลดต้นทุน โดยผู้ประกอบการน่าจะลดต้นทุนที่ 5-20% หรือ อาจจะ 10% แล้วตั้งราคาเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อรวมภาษี ซึ่งตรงนี้จะทำให้สามารถแข่งขันได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามีแต้มต่อเท่ากับเวียดนาม เท่ากับว่าการแข่งขันไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ถ้าเวียดนาม บวกไป 20 % ถ้าไทยบวกไป 36% นั่นหมายความว่าไทยมีแต้มต่อในการแข่งขันกับเวียดนามค่อนข้างลำบาก
ขณะเดียวกัน ไทยต้องดูว่า สินค้าในหมวดต่างๆ ที่ไทยเองจะต้องแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอื่น จะเสียภาษีที่เท่าไหร่ เป็นเรื่องที่เราจะต้องสร้างความสามารถในการแข่งขัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราสามารถลดต้นทุนได้ การแข่งขันก็จะง่ายขึ้น แต่ถ้าเนาบดต้นทุนได้ระดับหนึ่ง แต่เสียภาษีมากกว่าคนอื่น จะทำให้เศรษฐกิจไทยเองมีปัญหาในแง่ของการส่งออกที่ชะลอตัวลงในระยะสั้น แล้วก็เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสเติบโตต่ำกว่า 1.5% ถ้าเราเสียภาษี 36% ในวันที่ 9 ก.ค.นี้