รัฐบาลผลักดันงบก้อนใหญ่ นั่นคือ “งบกระตุ้นเศรษฐกิจ” ภายใต้กรอบวงเงินงบกลางรายการค่าใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจปีงบประมาณ 2568 ที่มีเตรียมไว้ 157,000 ล้านบาท โดยล็อตแรก ได้มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ผ่านการพิจารณาและผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 แล้ว 481 โครงการ รวม 8,939 รายการ ภายในกรอบวงเงิน 115,375 ล้านบาท กระจายไปลงยังหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 50 หน่วยงาน
จากการตรวจสอบรายละเอียดรายละเอียด “งบกระตุ้นเศรษฐกิจ” ที่แปลงโฉมมาจากงบที่จะใช้ในโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต ด้วยวงเงินประเดิม 115,375 ล้านบาท ครั้งนี้ รัฐบาลประเมินว่า เงินจะลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ภายใต้ความหวังว่า อาจจะมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเงินก้อนนี้สามารถผลักดันลงไปจนครบถ้วน
ขณะเดียวกันรัฐบาลยังประเมินผลของการอัดเงินก้อนมหึมาช่วงปลายปีนี้ถึงช่วงปีหน้ากว่าแสนล้านบาทด้วยว่า น่าจะเป็นเงินลงทุนที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างถั่วถึง จนทำให้เกิด Forward และ Backward ส่งต่อไปยังเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ด้วย
ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่า หากนับเฉพาะโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ครอบคลุมด้านบริหารน้ำ และด้านคมนาคม นั้น จะมีกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์ สรุปได้ดังนี้
สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านบริหารน้ำ มีกรอบวงเงินรวม 39,135.9 ล้านบาท ครอบคลุม 8 โครงการ แยกเป็นรายการต่าง ๆ ของหน่วยงานรัฐกว่า 2,881 รายการ โดยกลุ่มธุรกิจหรือสาขาเศรษฐกิจที่จะได้รับผลประโยชน์โดยมีเงินที่มีความเชื่อมโยงกัน มีดังนี้
สำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีกรอบวงเงินรวม 45,863.7 ล้านบาท ครอบคลุม 26 โครงการ แยกเป็นรายการต่าง ๆ ของหน่วยงานรัฐกว่า 5,105 รายการ โดยกลุ่มธุรกิจหรือสาขาเศรษฐกิจที่จะได้รับผลประโยชน์โดยมีเงินที่มีความเชื่อมโยงกัน มีดังนี้
อย่างไรก็ตาม สศช. ได้สรุปข้อมูลการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (Value Added) ของการลงทุนทั้งสองด้านพบว่า เฉพาะด้านน้ำ ด้วยเงินลงทุน 39,135.9 ล้านบาท จะมีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 30,651.6 ล้านบาท ส่วนด้านคมนาคม ด้วยเงินลงทุน 45,863.7 ล้านบาท จะมีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 34,355.9 ล้านบาท