รัฐบาลมุ่งเป้าอัดงบกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟส 2 เท 4 หมื่นล้าน ลง อปท. ทั่วประเทศ

25 มิ.ย. 2568 | 02:26 น.
อัปเดตล่าสุด :25 มิ.ย. 2568 | 02:38 น.

ครม.ไฟเขียว อัดงบกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก 481 โครงการ รวม 8,939 รายการ วงเงิน 115,375 ล้านบาท กระจายไปยัง 50 หน่วยงาน คาดจ้างงาน 7.4 ล้านคน ดัน GDP โตเพิ่ม 0.4% ขณะที่วงเงินที่เหลืออีก 4 หมื่นล้านบาท เฟส 2 มุ่งเป้า อปท. ทั่วประเทศ 

 

ครม.อนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท โดยในรอบแรกนี้อนุมัติไปแล้ว 115,375 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 ด้านหลัก

ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้รับงบประมาณมากที่สุด 85,000 ล้านบาท จาก 34 โครงการ 7,986 รายการ แบ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านนํ้า 39,136 ล้านบาท และด้านคมนาคม 45,864 ล้านบาท คาดว่าจะพัฒนาถนนได้ 417 กิโลเมตร ซ่อมบำรุงและปรับปรุงเส้นทางได้ 1,689 แห่ง พร้อมสร้างการจ้างงานได้ 2.85 แสนคน

ด้านการท่องเที่ยว ได้รับจัดสรร 10,052 ล้านบาท จาก 420 โครงการ 922 รายการ มุ่งเน้นการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาระบบอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยให้
นักท่องเที่ยว คาดว่าจะเพิ่มนักท่องเที่ยวกว่า 2.76 ล้านคน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 55,059 ล้านบาท

ด้านลดผลกระทบภาคส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ ได้รับงบ 11,122 ล้านบาท จาก 10 โครงการ โดยเน้นการสนับสนุนสินเชื่อให้ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ

ด้านเศรษฐกิจชุมชน ได้รับการจัดสรร 9,201 ล้านบาท จาก 17 โครงการ 21 รายการ แบ่งเป็นกองทุนหมู่บ้านและชุมชน 4,000 ล้านบาท ทุนมนุษย์ด้านการศึกษา 3,641 ล้านบาท และพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน 1,560 ล้านบาท

จากการวิเคราะห์ของกระทรวงการคลัง โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้คาดว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการจ้างงานที่จะเกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 7.4 ล้านคน มีวงเงินการจ้างงาน 34,008 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของวงเงินรวม

ในด้านโครงสร้างพื้นฐานนํ้า คาดว่าจะสามารถป้องกันอุทกภัยในช่วงฤดูฝน สร้างพื้นที่กักเก็บนํ้าสำหรับฤดูแล้ง และป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน โดยมีพื้นที่ได้รับการป้องกันนํ้าท่วมหรือการชะล้างพังทลาย 191,167 ไร่ สามารถเพิ่มปริมาณนํ้าได้ 192.22 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 4,791,974 ไร่ และครัวเรือนได้รับประโยชน์ 906,803 ครัวเรือน

 

“สุริยะ” เร่งคมนาคมหวัง ก.ย.เริ่มจัดซื้อ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เผยว่ากระทรวงคมนาคมได้รับการจัดสรรงบประมาณ 48,757 ล้านบาท กระจายไปยัง 6 หน่วยงาน โดยกรมทางหลวงได้มากสุด 32,187 ล้านบาท ตามด้วยกรมทางหลวงชนบท 14,725 ล้านบาท

หลังจากครม.เห็นชอบแล้ว หน่วยงานต่างๆ จะเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนกันยายนนี้ คาดว่าผู้รับเหมาจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากโครงสร้างพื้นฐานใหม่

ในส่วนของกระทรวงคมนาคม นายสุริยะเผยรายละเอียดการจัดสรรงบ 48,757 ล้านบาท ไปยัง 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมทางหลวง (ทล.) ได้วงเงิน 32,187 ล้านบาท กรมทางหลวงชนบท (ทช.) 14,725 ล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) 1,020 ล้านบาท กรมท่าอากาศยาน 765 ล้านบาท องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 42 ล้านบาท และบริษัทขนส่ง จำกัด 14 ล้านบาท

โครงการของ รฟท. จะมุ่งเน้นการเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง รวมถึงแก้ไขปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟกับถนนเสมอระดับ อาทิ การจัดหาและติดตั้งเครื่องกั้นถนนเสมอระดับจำนวน 25 แห่ง วงเงิน 98 ล้านบาท การซ่อมปรับปรุงอุปกรณ์ระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม วงเงิน 1,217 ล้านบาท และการศึกษาความเหมาะสมโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายแพร่-น่าน ระยะทาง 253 กิโลเมตร วงเงิน 65 ล้านบาท

ขณะที่ บขส. จะดำเนินโครงการด้านความปลอดภัย ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองด้วยรถโดยสาร และปรับปรุงสถานีขนส่งผู้โดยสาร ส่วน ขสมก. จะแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่คอขวดและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง

 

เตรียม 4 หมื่นล้าน เฟส 2 มุ่งเป้า อปท.

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าวงเงินที่เหลืออีกประมาณ 41,000 ล้านบาท จะมีการพิจารณาในรอบที่ 2 หรือ 3 ต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบให้หมด เนื่องจากต้องเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ตามเป้าหมาย 4 ด้านหลัก

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า งบประมาณที่เหลือ 4 หมื่นล้านบาท รัฐบาลตั้งเป้าหมายจัดสรรให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศที่ได้เสนอขอรับงบประมาณ แต่ยังต้องกลั่นกรองและตรวจสอบความถูกต้องอีกรอบ เนื่องจากตัวเลขที่เสนอเข้ามาไม่ตรงกัน คาดใช้เวลาอีกพักหนึ่งถึงจะเสนอครม.เห็นชอบ
 

ทีดีอาร์ไอ วิจารณ์ “ยังไม่ตรงจุด”

นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มองว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท ยังไม่ตรงจุด เนื่องจากโครงการที่ออกมาจะกลายเป็นโครงการเล็กๆ เบี้ยหัวแตกที่แจกกันไปค่อนข้างเยอะ และลงไปในจุดที่เริ่มให้คุณค่าน้อยลง ทั้งภาคเกษตร ภาคส่งออก และภาคการท่องเที่ยว แนะนำให้ภาครัฐโฟกัสการพัฒนาด้านสุขภาพที่ตอบโจทย์สังคมสูงวัย ด้านสีเขียวที่โลกให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)

“เราลงเงินไป แต่ส่วนเพิ่มที่เป็นประโยชน์มีจำกัด เช่น ภาคเกษตร การต่อท่อนํ้า การสร้างเขื่อน ทำมาอย่างต่อเนื่องแล้ว เช่นเดียวกันถนนต่างๆ มีการก่อสร้างเต็มไปหมดแล้ว จนเรามาสร้างสิ่งที่ไม่ได้เกิดประโยชน์ในแง่ประสิทธิผลมาก” นายนณริฏกล่าว
 

เอกชนวิจารณ์ “เสี่ยงไม่ถึงรากหญ้า”

นายสมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษาสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความกังวลต่อแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยงบประมาณ 1.15 แสนล้านบาทว่า แม้จะมีการกระจายงบไปสู่โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ แต่กลับพบว่างบประมาณสำหรับโครงการนํ้าและชุมชน ซึ่งคาดว่าจะช่วยประชาชนในต่างจังหวัด กลับเหลือเพียง 3 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ทำให้ตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง

“หากคาดหวังที่จะกระตุ้นรากหญ้านั้น “คงไม่ได้จริง” ในการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยอ้างอิงจากประสบการณ์ที่ผ่านมา แม้เคยใช้งบประมาณเกือบ 2 แสนล้านบาทในการแจกจ่าย แต่ก็ยังไม่เห็นผลการกระตุ้นที่เป็นรูปธรรมอย่างที่ควรจะเป็นภาครัฐอาจกำลัง “มองตัวใหญ่” มากเกินไป ในขณะที่สังคมกำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างแท้จริงในระดับรากหญ้า”

ปัจจุบันตลาดอยู่ในภาวะซบเซา ผู้บริโภคระดับรากหญ้าได้รับผลกระทบอย่างหนักจากหลายปัจจัย ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ปัญหาการค้าชายแดนที่ถูกปิดกั้น และการเข้ามาของสินค้าจากจีนในราคาที่ถูกมาก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตและเกษตรกรในประเทศ 

“รัฐต้องปรับแผนมุ่งกระตุ้นกำลังซื้อรากหญ้าโดยตรง-ควบคุมสินค้าข้ามแดน เน้นยํ้าว่าสิ่งที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการคือการทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยของคนรากหญ้าให้มากขึ้น มากกว่าการไปกระตุ้นโครงการขนาดใหญ่ เนื่องจากโลกได้เปลี่ยนแปลงไปมาก และหากกำลังซื้อระดับล่างไม่ถูกกระตุ้น ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งหมด
 

ททท.เตรียมเปิด “เที่ยวไทยคนละครึ่ง”

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการและรายการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 110,000 ล้านบาท จากกรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา โดยเป็นงบของกระทรวงการท่องเที่ยว 10,052 ล้านบาท รวม 420 โครงการ

หลักๆ จะนำมาใช้ในโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งก็อยู่ในงบประมาณดังกล่าว โดยมีการตั้งงบประมาณไว้ในวงเงิน 1,760 ล้านบาท โดยสัปดาห์ที่แล้ว ททท. เปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการล่วงหน้า และเตรียมจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน โดยนักท่องเที่ยวจะเริ่มใช้สิทธิเที่ยวได้จริงในวันที่ 1 ก.ค.นี้. การสนับสนุนชาร์เตอร์ไฟล์ 750 ล้านบาท สนับสนุน OTA ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 800 ล้านบาท การดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว 1,100 ล้านบาท การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมเมืองหลักเมืองรองของกรมทางหลวง 3 พันล้านบาท เป็นต้น

ทั้งนี้ประโยชน์จากโครงการ และผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เที่ยวไทยคนละครึ่งคาดว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางจากโครงการไม่น้อยกว่า 100,000 คน สร้างรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวกว่า 14,125 ล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเพิ่มขึ้น 2.67 ล้านคน/ครั้ง (เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ก.ค.-ต.ค.) สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมกว่า 35,033 ล้านบาท การจ้างงานกว่า 40,669 คน ภาษีที่ภาครัฐได้รับกว่า 1,863 ล้านบาท
 

ภาคเอกชนมองบวกแต่เน้นต้องเร่งดำเนินการ

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) มองว่าการที่ครม.ผ่านงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.1 แสนล้านบาท เป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย เนื่องจากเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หลายประเด็น

“รัฐบาลควรเร่งให้เกิดการดำเนินโครงการโดยเร็ว กระจายเงินจากภาครัฐไปสู่ผู้รับเหมา เพื่อในท้ายที่สุดจะเกิดการจ้างงาน และเกิดการนำเงินไปใช้จ่าย เชื่อว่าจะเกิด Multiplier Effect ไม่ตํ่ากว่า 3-4 เท่า” นายสิทธิเดชกล่าว

นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เห็นด้วยว่าการเร่งอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะช่วยกระตุ้นการลงทุนและท่องเที่ยว ทั้งตลาดในประเทศผ่านโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” และตลาดต่างประเทศผ่านโครงการดึงเที่ยวบินเช่าเหมาลำ ที่จะช่วยพยุงบรรยากาศการท่องเที่ยวให้มีแรงดึงเศรษฐกิจภาคอื่นๆ ต่อไป