หลังนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตรออกมาระบุว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้จัดทำเสร็จสิ้นลงตัวแล้ว และเตรียมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ จัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้สร้างแรงกระเพื่อมในวงการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่เฝ้าจับตามองนโยบายใหม่ที่กำลังจะถูกผลักดันออกมาในไม่ช้า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง ความเชื่อมั่นนักลงทุนที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ และกำลังซื้อภายในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพ
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า)ออกมาแสดงจุดยืนต่อทิศทางของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็น “แหล่งท่องเที่ยวปลอดภัย” หรือ Safety Tourism Destination อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพราะในสถานการณ์ปัจจุบัน ภัยพิบัติ ภาวะสงคราม และโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคของโลก ได้เปลี่ยนพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไปโดยสิ้นเชิง
ข้อมูลจาก TGM Global Travel Survey 2023 ยืนยันว่า มากกว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “ความปลอดภัย” เป็นเหตุผลสำคัญที่สุด มากกว่าราคาและสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ประเทศที่ได้รับการยอมรับในเรื่องความปลอดภัย เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สแกนดิเนเวีย และนิวซีแลนด์ ล้วนสามารถสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้อย่างมั่นคง
ขณะที่ประเทศไทยยังคงมีข่าวเชิงลบเกี่ยวกับอาชญากรรม ทัวร์นอมินี หรือการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นเป็นระยะ
ขณะที่นายกิตติ พรศิวะกิจ นายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทยและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ททท. ได้จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายจำนวน 10 ข้อ เพื่อส่งต่อถึงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยมีสาระสำคัญตั้งแต่การปฏิรูปเชิงบุคลากร ไปจนถึงการตั้งกองทุนสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต
ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การเปิดทางให้ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้าร่วมบริหารราชการในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย หรือที่ปรึกษาในประเด็นเฉพาะด้าน เช่น ดิจิทัล นวัตกรรม SMEs และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ประเทศไทยยังขาดความลึกและความเร็วในการขับเคลื่อน
อีกทั้งเสนอการตั้ง “Warroom” สี่ด้าน ที่ครอบคลุมทั้งความยั่งยืน เทคโนโลยี ความมั่นคง และการพัฒนาผู้ประกอบการ
ข้อเสนอเด่นอีกข้อ คือการจัดตั้ง “Thailand Nomad Friendly Zone” ในเมืองหลักและเมืองรอง เช่น เชียงใหม่ ปาย ภูเก็ต หัวหิน และเกาะพะงัน เพื่อรองรับกลุ่ม Digital Nomad จากทั่วโลก
พร้อมออก “Thailand Nomad Card” ที่ให้สิทธิพิเศษด้านที่พัก Co-working Space ระบบสุขภาพ และกิจกรรม Networking โดยมีเงื่อนไขการเข้าเมืองที่ยืดหยุ่นและสอดรับกับแนวโน้มการทำงานยุคใหม่
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้ปรับโครงการ “Digital Wallet” เดิม ให้เป็น “Digital Citizen” ด้วยงบประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างหลักสูตรอบรมประชาชนตามทักษะแห่งอนาคต โดยทุกคนจะต้องผลิตผลงานจริงและสามารถต่อยอดเข้าสู่ระบบทุนสนับสนุนต่อไป
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกระแทกจากทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการไม่กล้าตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติม
“รัฐบาลจะต้องแสดงภาวะผู้นำในการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วและตรงจุด เพราะหากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ จะกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกลายเป็นแรงเฉื่อยต่อเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะภาค SMEs ที่ต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉินทั้งด้านเงินทุน มาตรการลดต้นทุน และโอกาสในตลาดใหม่”
ดร.เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ กลุ่มอำพลฟูดส์กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรก ยอดขายของกลุ่มลดลงถึง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากกำลังซื้อภายในประเทศที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี สอดคล้องกับตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงอย่างน่ากังวล
"ที่จริงโครงการ “คนละครึ่ง”ที่รัฐบาลชุดก่อนทำไว้ค่อนข้างดี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้จริงและดีกว่าการแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งไม่ใช่ทางออก ประเทศเรามีศักยภาพแต่ต้องเกิดการหมุนเวียนเงินในร้านค้าและกระตุ้นกำลังซื้อให้เห็นผลอย่างชัดเจนให้ได้ ก่อนแก้ปัญหาเจรจาเรื่องการส่งออก และควรหาทางดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับมาให้เร็วที่สุด”
ด้านนายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของกำลังซื้ออย่างชัดเจน แต่ยังมีความหวังว่า สถานการณ์จะคลี่คลายในระยะยาว หากรัฐบาลสามารถควบคุมต้นทุนพื้นฐานของประชาชนได้ เช่น ราคาพลังงาน น้ำมัน และค่าไฟ
ภาครัฐควรเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น “ช้อปดีมีคืน” หรือมาตรการผ่อนชำระหนี้ เพื่อบรรเทาภาระครัวเรือนและฟื้นความมั่นใจของประชาชน เพราะในที่สุดแล้วภาคเอกชนไม่สามารถเดินหน้าลำพังได้ หากไม่มีแรงส่งจากภาครัฐ
“ปัจจัยเสี่ยงเรื่องการเมือง เราเจอมาหลายต่อหลายครั้ง ส่วนสงครามคาดว่า ไม่ยืดเยื้อส่งผลกระทบแค่ระยะยสั้นเท่านั้นแต่ไม่มากมาย"
อย่างไรก็ตาม ในแง่แผนธุรกิจของเรายังยืนยันว่า การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้า จะช่วยให้ CRC ยังคงรักษาระดับการจ้างงานพนักงานกว่า 6-6.5 หมื่นคนใน 3 ประเทศ โดยไม่มีความเสี่ยงที่จะปรับลดกำลังคน แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวและสถานการณ์การเมืองไม่นิ่งก็ตาม
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยระบุว่า รัฐบาลใหม่ต้องเร่งจัดการปัญหาเชิงโครงสร้าง 9 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา สงครามอิสราเอล-อิหร่าน ความเชื่อมั่นนักลงทุน การจัดการหนี้ SMEs การเติบโตของ GDP ที่ต่ำ รวมถึงต้นทุนธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งทุนที่ยังมีข้อจำกัด
นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แม้จะเกิดกระแสยื่นถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่ภาคเอกชนยังมั่นใจว่ากลไกรัฐสภาจะสามารถเดินหน้าได้ เพราะเสียงสนับสนุนยังเกินครึ่ง จึงอยากให้รัฐบาลเร่งปรับคณะรัฐมนตรีใหม่โดยเร็ว เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
“ความมั่นคงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นทั้งภายในและต่างประเทศ หากสามารถจัดการความขัดแย้งและสร้างภาพลักษณ์ที่มั่นคงได้ เศรษฐกิจจะฟื้นตัวตามมาโดยอัตโนมัติ พร้อมระบุว่าภาคธุรกิจต้องการความชัดเจนทางนโยบายและเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อสามารถวางแผนลงทุนและดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังเปราะบาง” นายสิทธิเดช กล่าวทิ้งท้าย
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,108 วันที่ 26 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568