ผู้ตรวจการแผ่นดิน แนะรื้อพ.ร.บ.ต่างด้าว สกัดนอมินี เพิ่มโทษ-คุมถือหุ้น

26 มิ.ย. 2568 | 05:30 น.
อัปเดตล่าสุด :26 มิ.ย. 2568 | 05:33 น.

ผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำหนังสือถึงนายกฯ มอบกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แม่งานรื้อพ.ร.บ.ต่างด้าว สกัด “นอมินี” ถือครองที่ดิน-อสังหาฯ เพิ่มโทษหนัก คุมการถือหุ้นเข้มข้น ปราบตัวแทนอำพราง

จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบผลการวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) ที่ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี กรณีปัญหาการถือครองหรือครอบครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์โดยตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว (นอมินี) หลังพบว่า ปัจจุบันมีคนต่างด้าวถือครองหรือครอบครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ในลักษณะการค้าที่ดินเป็นจำนวนมากนั้น 

ฐานเศรษฐกิจ ได้ตรวจสอบผลการวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน พบว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มี ออกคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ โดยในระยะเร่งด่วนให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นเจ้าภาพหลักในการป้องกัน ปราบปราม และตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่มีคนต่างด้าวถือหุ้น เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาให้เกิดผลอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม 

พร้อมทั้งมอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และดำเนินการในด้านอื่น ๆ ดังนี้

มาตรา 4 ควรแก้ไขนิยามของคำว่า “คนต่างด้าว” ให้ครอบคลุมถึงกรณีที่คนต่างด้าวมีอำนาจบริหารหรือครอบงำกิจการของนิติบุคคลที่คนต่างด้าวตั้งขึ้นมาโดยใช้คนไทยเป็นผู้อำพรางการทำธุรกรรม และให้มีความชัดเจนและรัดกุมมากขึ้น ทั้งการถือหุ้นทางตรงที่ให้คนต่างด้าวถือหุ้นได้ร้อยละ 49 หรือการถือหุ้นทางอ้อมที่คนต่างด้าวสามารถถือหุ้น ผ่านตัวแทน และกฎหมายควรมีความชัดเจนว่าต้องการให้คนต่างด้าวถือหุ้นหรือไม่ หากไม่ต้องการให้ถือหุ้นทางอ้อม ควรเพิ่มเติมคุณสมบัติของผู้ถือหุ้นอีกร้อยละ 51 ที่เหลือให้ชัดเจน

พร้อมแก้ไขนิยามของคำว่า “ตัวแทนอำพราง” และ “ธุรกรรมอำพราง” เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับบุคคลและกิจกรรมที่เกี่ยวกับการทำนิติกรรมสัญญาหรือการดำเนินการใด ๆ กับผู้อื่น ทางการเงิน ทางธุรกิจ หรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินใด ๆ หรือสิทธิในทรัพย์สินนั้นแทนคนต่างด้าว โดยปกปิดชื่อเจ้าของที่แท้จริงซึ่งเป็นคนต่างด้าวหรือกระทำการภายใต้การบริหารงาน การควบคุมหรือครอบงำของคนต่างด้าว ให้ถือว่าเป็นการทำธุรกรรมอำพราง

รวมทั้งแก้ไขคำนิยาม กำหนดการกระทำที่เข้าข่ายลักษณะการกระทำความผิดฐานตัวแทนอำพราง เช่น การซื้อขาย เช่า ให้เช่า โอน รับโอน หรือครอบครองทรัพย์สินโดยเจตนาเป็นตัวแทนอำพราง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางสิทธิที่แท้จริงจากการได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ แทนคนต่างด้าว รวมทั้งการสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือคนต่างด้าวโดยเป็นตัวแทนอำพราง ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น

กำหนดให้หุ้นบุริมสิทธิที่ให้สิทธิหุ้นคนต่างด้าวมากกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ ทำให้คนต่างด้าวเป็นผู้มีอำนาจบริหารจัดการหรือครอบงำนิติบุคคล ให้ถือว่าเป็นนิติบุคคลต่างด้าว

รวมถึงแก้ไขนิยามของคำว่า “ทุนจดทะเบียนของบริษัทจำกัด” ให้มีความชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันกฎหมายที่เกี่ยวกับทุนเรือนหุ้นและการแสดงทุนจดทะเบียนของบริษัทจำกัด ไม่ได้มีการบัญญัติให้ผู้ขอจดทะเบียนต้องแสดงหลักฐานว่าได้มีการเรียกและชำระเงินค่าหุ้นของบริษัทจำกัดนั้นจริงตามที่ได้แสดงไว้ในคำขอจดทะเบียน โดยมีหนังสือรับรองบัญชีเงินฝากของธนาคารที่รับฝากเงินค่าหุ้นของบริษัทจำกัดนั้น ๆ แต่อย่างใด 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่า บริษัทมีเงินทุนที่แท้จริงเท่ากับเงินทุนที่ได้จดไว้ต่อนายทะเบียน ได้กำหนดให้ผู้ขอจดทะเบียนแสดงหลักฐานการรับชำระค่าหุ้นที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือหุ้นเท่านั้น เช่น ใบสำคัญรับชำระเงินค่าหุ้น ดังนั้น กฎหมายในปัจจุบันจึงยังมีข้อบกพร่องหรือช่องโหว่ที่ไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวอย่างเหมาะสม รัดกุม และชัดเจน จึงควรมีการแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด

ขณะเดียวกันยังขอให้แก้ไขมาตรา 36 และ 37 โดยเพิ่มอัตราโทษจำคุกและโทษปรับให้สูงขึ้น พร้อมกำหนดความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เป็นความผิดมูลฐานและเป็นความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เพื่อนำไปสู่การยึดทรัพย์ และให้เพิ่มมาตรการ ยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดไว้ชั่วคราวเพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายทรัพย์สิน ที่ได้จากการประกอบธุรกิจโดยการตั้งตัวแทนอำพรางหรือการหลบหนีการบังคับคดีของศาล

นอกจากนี้ยังให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นหน่วยงานหลักในการปราบปรามการตั้งตัวแทนอำพราง และเพิ่มอำนาจให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีอำนาจตรวจสอบและจับกุม เมื่อพบการกระทำความผิดในการตั้งตัวแทนอำพราง รวมทั้งให้เพิ่มมาตรการกรณีผิดเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นการกระทำผิดฐานนอมินี เพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้เด็ดขาดตามหลักความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย