วันนี้ (21 พฤษภาคม 2568) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 5 (3/2568) ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยมีสาระสำคัญเน้นย้ำการเข้มงวดกับสินค้านำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐาน การดำเนินธุรกิจแบบนอมินี การขายสินค้าต่างชาติผิดกฎหมายทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ และการส่งเสริมให้เกิดการใช้แรงงานไทยและวัตถุดิบในประเทศ พร้อมผลักดันให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จาก FTA อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้คณะกรรมการฯ ได้ดำเนินคดีกับสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานและผิดกฎหมายไปแล้วกว่า 39,186 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2,074 ล้านบาท ส่วนการปราบปรามธุรกิจนอมินีมีการดำเนินคดีรวม 857 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 15,288 ล้านบาท รวมมูลค่าความเสียหายสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานและนอมินี มูลค่ากว่า 17,362 ล้านบาท ดำเนินคดีแล้วกว่า 40,043 คดี
โดยความคืบหน้าการดำเนินการปราบปราบนอมินี ในช่วงเดือน 1 กันยายน 2567 -30 เมษายน 2568 พบว่า ธุรกิจท่องเที่ยว ดำเนินคดีแล้ว 106 ราย มูลค่าความเสียหาย 602,402,939 บาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวข้อง ดำเนินคดีแล้ว 245 ราย มูลค่าความเสียหาย 11,565,592,958 บาท ธุรกิจขนส่งทางบก ดำเนินคดีแล้ว 11 ราย มูลค่าความเสียหาย 32,400,000 บาท ธุรกิจก่อสร้าง ดำเนินคดีแล้ว 5 ราย มูลค่าความเสียหาย 100,000,000 บาท ธุรกิจอื่น ๆ ดำเนินคดีแล้ว 490 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,988,205,959 บาท
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพลตำรวจโท พิทยา ศิริรักษ์ เป็นที่ปรึกษาเพิ่มเติมใน 2 คณะอนุกรรมการ ได้แก่ คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) และคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย และแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มหน่วยงานในคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาครอบคลุมทุกมิติ
“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับปัญหานี้อย่างมาก และได้กำชับให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการอย่างเข้มข้น โดยเน้นการทำงานเชิงรุก (Proactive) แก้ไขปัญหาล่วงหน้า เพราะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจโลก มีความเสี่ยงสูงที่สินค้าผิดกฎหมายและไม่มีคุณภาพจะทะลักเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SME ไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการทุกมาตรการที่จำเป็น
โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการติดป้ายแสดงถิ่นกำเนิดสินค้าและการแข่งขันทางการค้า ซึ่งคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ก็จะเข้ามาบูรณาการใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมด้วยอย่างจริงจัง พร้อมเร่งรัดให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว” นายพิชัย กล่าว
ด้านนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ปัญหาสินค้านำเข้าและธุรกิจนอมินีสะสมในประเทศไทยมายาวนานกว่า 10 ปี สาเหตุหลักมาจากกฎหมายไทยที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบการค้าโลก และไม่สามารถเอาผิดกับบริษัทที่ใช้คนไทยถือหุ้นแทนต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ จะมุ่งล้างปัญหานอมินีเดิม
โดยแบ่งกลุ่มบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นตั้งแต่ 0.01 – 49.99% ออกเป็น 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.การท่องเที่ยว 2.อสังหาริมทรัพย์ 3.อีคอมเมิร์ซ ขนส่ง และคลังสินค้า 4. โรงแรมและรีสอร์ท 5.การเกษตร และ6.การก่อสร้าง
จากข้อมูลพบว่ามีบริษัทกลุ่มเสี่ยงกว่า 46,918 ราย โดยจะจัดตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดขึ้นในทุกจังหวัด ซึ่งมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็นประธาน และมีพาณิชย์จังหวัดเป็นฝ่ายเลขานุการ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด ทั้งที่มาของเงินทุน ความสามารถในการประกอบธุรกิจ และความเชื่อมโยงกับชาวต่างชาติ
สำหรับบริษัทใหม่ที่จดทะเบียนในอนาคต จะมีการเสนอปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มบทลงโทษต่อธุรกิจนอมินีถึงขั้นยึดทรัพย์ และจะเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อผลักดันเข้าสู่รัฐสภาโดยเร็ว รวมถึงประสานในทุกวาระ เพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้การดำเนินการจะเป็นไปอย่างจริงจังและเชิงรุก โดยให้แต่ละจังหวัดดำเนินการตรวจสอบบริษัทให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน และในจังหวัดที่มีบริษัทที่อยู่ในข่ายเป็นจำนวนมากจะให้รายงานผลความคืบหน้าเป็นไตรมาสต่อไป