ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย และอดีตประธานสภาธุรกิจประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) เปิดเผยบทความพิเศษว่า สถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชารอบใหม่ เริ่มจากจากปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ทหารกัมพูชาเข้ามาขุดสนามเพลาะหรือคูเลต (Culette) ที่ช่องบกลากยาวจากปัญหาเส้นเขตแดนบานปลายต่างเตรียมทหารยุทโธปกรณ์เต็มกำลังตรึงชายแดนทั้งสองประเทศ
จากปัญหาคลิปเสียงหลุดแบบเจตนาจาก “คุณอา คุณหลาน” แบล็คเมล์เขย่าภาวะนายกรัฐมนตรีและเสถียรภาพรัฐบาลไทย จนต้องปรับครม.แบบยกแผง ท่าทีซึ่งเปลี่ยนไป ไทย-กัมพูชา เล่มเกมส์สงครามเศรษฐกิจโดยกัมพูชาขู่แบนสินค้าไทยและปิดไม่รับซื้อกระแสไฟ-ระบบอินเตอร์เน็ต หันไปซื้อจากประเทศเวียดนามเพื่อทดแทนการพึ่งพิงไทย
ทั้งสองประเทศต่างมีการปิดบางด่าน-จุดผ่อนปรน โดยไทยไม่ให้ทั้งคนไทยและต่างชาติออกไปเล่นคาสิโนฝั่งปอยเปต ความตึงเครียดเพิ่มดีกรีทางกัมพูชาออกสงครามข่าวสาร (Information Operation) โจมตีไทยว่าลุกล้ำเส้นแบ่งเขตแดน ซึ่งต่างฝ่ายใช้มาตราส่วนไม่เหมือนกัน โดยกัมพูชาส่งเรื่องให้ศาลโลกเป็นผู้ตัดสิน แต่ไทยไม่ยอมรับ เพราะออกจากเขตศาลโลกมา 65 ปี
อีกทั้งรัฐบาลฮุน มาเน็ต กล่าวหาว่าไทยปิดด่านทำให้ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค-น้ำมันขาดแคลนราคาสูงประชาชนเดือดร้อนเพราะไทยเป็นต้นเหตุ
หลังการปล่อยคลิปเคลม “นายกอุ๊งอิ๊ง” ที่คุยแก้ปัญหาขัดแย้งแบบหลานคุยกับ “Uncle” (ฮุนเซ็น) ท่าทีของรัฐบาลแข็งกร้าวมอบอำนาจปิด-เปิดชายแดนให้กับกองทัพแบบเบ็ดเสร็จ
สถานการณ์ล่าสุด วันที่ 23 มิถุนายน กองทัพมีคำสั่งสองฉบับ กองทัพภาคที่ 1 มีคำสั่งปิดพรมแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นเส้นทางหลักขนส่งทางถนนจากด่านบ้านคลองลึก (อรัญประเทศ) ไปด่านปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ผ่านเมืองกันดาล-โพธิสัต-พะตะบอง ถึงนครพนมเปญ ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมใหญ่ของกัมพูชาระยะทาง 405.8 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 4.5 – 5.0 ชั่วโมง
ทั้งนี้รถบรรทุกไทยจะต้องถ่ายสินค้าเปลี่ยนรถกัมพูชาที่ด่านปอยเปต ค่าขนส่งรถขนาดสิบล้อ ประมาณ 650 เหรียญสหรัฐ สัดส่วนการขนส่งสินค้าข้ามแดนฝั่งอรัญประเทศ มูลค่าประมาณร้อยละ 64.4 เป็นด่านสำคัญที่มีสินค้าเข้า-ออกมากสุด ด้านจังหวัดจันทบุรี ด่านบ้านผักกาดไปออกเขมรที่ด่านบ้านคลองจะกร๊อม จังหวัดพะตะบอง มีสัดส่วนการขนส่งมูลค่าร้อยละ 14.2 จันทบุรี ยังมีด่านบ้านแหลมแต่สินค้าไม่มาก
ขณะที่จังหวัดตราดด่านสำคัญคือด่านบ้านหาดเล็กข้ามไปฝั่งเขมรคือด่านจามเยียม จังหวัดเกาะกง ซึ่งสินค้าไม่มากโดยด่านดังกล่าวปิดห้ามคน-รถ-สินค้าเข้ากัมพูชาไปก่อนหน้า
นอกจากนี้การปิดด่านมีคำสั่งกองทัพภาค 2 ออกมาในวันเดียวกัน ปิดด่านสามจังหวัดตลอดชายแดนไทย-กัมพูชา ห้ามคน นักท่องเที่ยว ยานพาหนะทุกประเภทและรถบรรทุกสินค้าเข้า-ออกผ่านพรมแดน ด่านหลัก เช่น
(1) ด่านช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษข้ามไปด่านช่องจวม จังหวัดอุดรเมียนเจยหรืออุดรมีชัย สัดส่วนการค้ามูลค่าร้อยละ 1.1
(2) ด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ สัดส่วนสินค้าข้ามแดนมูลค่าร้อยละ 3.5 ฝั่งตรงข้ามคือด่านโอร์เสม็ต จังหวัดอุดรเมียนเจย
(3) จุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ สำหรับช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานีมีการปิดด่านไปก่อนหน้า
การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา แบบยกแผง เป็นมาตรการที่ไทยตอบโต้กัมพูชาแบบแข็งกร้าว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อกระดับการควบคุมการผ่านแดนป้องกันอธิปไตยและบูรณาภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย เพื่อป้องกันปราบปรามการก่ออาชญากรรมการค้ามนุษย์
ตลอดจนขบวนการคอลเซ็นเตอร์และไฮบริดจ์สแกม (Hybrid Scam) ซึ่งไทยอ้างจาก
รายงานของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่ากัมพูชา GDP ร้อยละ 40 - 60 มาจากคอลเซ็นเตอร์ ถึงทางกัมพูชาจะปฏิเสธอย่างไรแต่ปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ประเด็นนี้เป็นการดิสเครดิตกัมพูชาขาดความชอบธรรมบนเวทีโลก
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา มีทั้งด้านเศษฐกิจและด้านความมั่นคง-บูรณาภาพอธิปไตย หากกล่าวเฉพาะมิติเศรษฐกิจมูลค่าการค้านำเข้า-ส่งออกภาพรวมมีมูลค่า 366,730 ล้านบาท เป็นการส่งออก 323,631 ล้านบาท ปีพ.ศ. 2567 เป็นคู่ค้าลำดับที่ 11 และช่วง 5 เดือนแรกปีพ.ศ. 2568 ขยายตัวประมาณร้อยละ 11 อยู่ในลำดับที่ 9 มีมูลค่ามากกว่าการส่งออกไปฟิลิปปินส์และหรือเกาหลีใต้ ซึ่งไทยได้ดุลการค้าหรือกำไรหลังหักการนำเข้า 280,533 ล้านบาท
การค้าครึ่งหนึ่งเป็นการขนส่งข้ามผ่านด่านและจุดผ่อนปรนมูลค่าประมาณ 174,530 ล้านบาท โดยด่านชายแดนหลักคืออรัญประเทศ-ปอยเปต-พนมเปญมีสัดส่วนถึงร้อยละ 64.37 โดยการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง-แก๊ส กัมพูชานำเข้าจากไทยมากกว่าร้อยละ 50 ตามด้วยนำเข้าจากเวียดนามและสิงคโปร์ ซึ่งการปิดด่าน ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศพุ่งสูงและวิกฤตอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ อาจทำให้น้ำมันในกัมพูชาขาดแคลน
สำหรับการขนส่งอีกครึ่งเป็นการขนส่งทางทะเลทางเลือกอาจใช้เรือประเภท “Direct Vessel” จากท่าเรือแหลมฉบังไปท่าเรือสีหนุวิลล์ (ห่างจากพนมเปญประมาณ 190 กิโลเมตร) ค่าระวางเรือหลังจากมีความขัดแย้งปรับขึ้นจากตู้ละ 600 USD/TEU เป็น 700 เหรียญสหรัฐหรือมากกว่า (ระยะเวลา4 – 5 วัน)
หรืออาจใช้เรือประเภท “Feeder Vessel” จากท่าเรือแหลมฉบังไปถ่ายลำที่ท่าเรือโฮจิมินห์ (เวียดนาม) และเปลี่ยนเรือมาท่าเรือสีหนุวิลล์ค่าระวางเรือประมาณตู้ละ 400 USD/TEU แต่ละสัปดาห์มีเรือออก 2 ลำแต่ละลำบรรทุกตู้ประมาณ 1,200 TEU ระยะเวลา 10 - 14 วัน การขนส่งทางเรือมีต้นทุนที่สูงกว่าและใช้เวลามากกว่าการขนส่งทางถนน
กัมพูชาพึ่งพาเศรษฐกิจจากไทยสัดส่วนค่อนข้างมาก กล่าวคือ การส่งออกสินค้าจากกัมพูชามาไทย มีมูลค่าประมาณ 43,099 ล้านบาท ซึ่งไทยถือเป็นประเทศคู่ค้าส่งออกอันดับ 1 การส่งออกมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรหลัก โดยไทยเป็นตลาดมากกว่าร้อยละ 51 ซึ่งการปิดด่าน จะกระทบไปถึงรายได้เกษตร ขณะที่การส่งออกไปเวียดนามคงได้แค่บางส่วน เพราะไปกดราคาผลผลิตของเวียดนาม
นอกจากนี้ ไทยเป็นตลาดสำคัญของการส่งออกผัก-ผลไม้ของกัมพูชา มีสัดส่วนร้อยละ 21.5 มูลค่าแตะหมื่นล้านบาท รวมถึงสินแร่โลหะต่างๆ มูลค่า 1.07 หมื่นล้านบาท
ข้อมูลนี้ยังไม่รวมรายได้ซื้อขายตามชายแดน สถานการณ์ขณะนี้ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค-วัสดุก่อสร้าง ตลอดจนราคาน้ำมันเริ่มขาดแคลนราคาปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะไทยเป็นโซ่อุปทานที่สำคัญ เช่น วัตถุดิบบางประเภทที่ต้องใช้ในโรงงานเสื้อผ้า สายไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ
ผลกระทบหากสถานการณ์สงครามเศรษฐกิจเพิ่มดีกรีสูงขึ้น กัมพูชาอาจได้รับผลกระทบจากภาคท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวไทย ติดอันดับหนึ่งด้วยจำนวน 1.820 ล้านคน ปีที่แล้วมีรายได้เข้าประเทศประมาณ 42,169 ล้านบาท ยังไม่รวมเงินที่ไปทิ้งในบ่อนคาสิโน ซึ่งเป็นรายได้หลักของผู้หลักผู้ใหญ่ในกัมพูชา
ด้านแรงงานเขมรทำงานในไทยมีประมาณมากกว่า 8.0 แสนคน เป็นแรงงานถูกกฎหมาย 515,350 คน ส่งเงินกลับประเทศปีละ 45,000 – 50,000 ล้านบาท เงินเหล่านี้เป็นแหล่งรายได้หลักของครัวเรือนกัมพูชามีผลต่อการจับจ่ายใช้สอย
คำถามว่าสงครามเศรษฐกิจระหว่างไทย-กัมพูชาใครจะเจ็บตัวมากกว่ากัน คำตอบขึ้นอยู่กับว่าใครจะอึดกว่ากัน โดยภาพรวมเศรษฐกิจกัมพูชาเล็กกว่าไทย 10.6 เท่า การส่งออกกัมพูชา เป็นลูกค้าอันดับที่ 11 แต่กลับกันการส่งออกของกัมพูชามาไทยเป็นลูกค้าอันดับที่ 1 แสดงให้เห็นว่าเขมรพึ่งพาไทยมากกว่าขณะที่การค้ากับเวียดนามไม่ค่อยจะดีนัก
การวัดศักยภาพเศรษกิจของประชากรพบว่า รายได้ต่อหัว/ปี (Income Per Capita) รายได้ประชากรไทย 8,271 USD/ปี ขณะที่รายได้ต่อหัวกัมพูชา 2,823 USD/ปี
ดังนั้นการกดดันปิดชายแดนเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการทำสงคราม ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะบอบช้ำทางเศรษฐกิจและเป็นบาดแผลทางใจที่แก้ยาก