"อำพลฟูดส์“ ไม่กระทบปิดด่านไทย-กัมพูชา แนะรัฐฟื้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว

24 มิ.ย. 2568 | 12:14 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มิ.ย. 2568 | 12:29 น.

"กลุ่มอำพลฟูดส์" ชี้สถานการณ์ไทย-กัมพูชา กระทบธุรกิจส่งออกในส่วนน้อย เผยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 แนะรัฐเร่งฟื้นท่องเที่ยวกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศให้ได้เป็นอันดับแรก

ดร.เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ กลุ่มอำพลฟูดส์ บริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการธุรกิจด้านอาหารของไทยที่มีตลาดอยู่ในประเทศและต่างประเทศ ส่วนใหญ่ล้วนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ปัจจุบัน เริ่มจากจุดที่น่ากังวลที่สุดคือเรื่องภาษีสหรัฐฯ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกหลักสำคัญของไทย หากคิดเป็นสัดส่วนทั้งหมดอาจสูง 30-40% ของการส่งออกทั้งหมด

ถัดมาคือเรื่องสงครามอิสราเอล-อิหร่าน เรื่องนี้กระทบกับตลาดในพื้นที่คนไทยอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะที่ความขัดแย่งระหว่างไทย-กัมพูชา น่าจะรับผลกระทบน้อยสุด โดยสินค้าและอาหารจากกลุ่มอำพลฟูดส์ที่ส่งไปขายในกัมพูชา มียอดขายไม่ถึง 0.5% จากยอดขายทั้งหมด

"กลุ่มอำพลฟู้ดเรามีแบรนด์หลัก คือ กะทิชาวเกาะ น้ำพริกแกง น้ำจิ้มไก่ และผักผลไม้กระป๋อง จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหรือหรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบโดยตรงน่าจะเป็นเรื่องภาษีสหรัฐฯ ที่หนักที่สุด ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไม่น้อย โดยเฉพาะกำลังซื้อในประเทศที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ทำให้ช่วงครึ่งแรกของปียอดขายของกลุ่มอำพลฟูดส์ลดลงไปประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปี 2567"

ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวลงตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 เริ่มจากนักท่องเที่ยวลดลง ส่งผลถึงผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ขายอาหารได้น้อยลง และเริ่มสั่งซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบน้อยลง จนกระทบมาถึงบริษัทผู้ผลิต แต่สังเกตได้ว่าสินค้าขนาดเล็กหรือไซส์เล็กเริ่มขายดี นัยสำคัญคือลูกค้าครัวเรือนกลับทำอาหารกินเองที่บ้านมากขึ้น

โดยเรื่องของกำลังซื้อในประเทศที่ลดลงถือว่าปัจจัยสำคัญ สอดคล้องกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูง รัฐบาลต้องควรหาวิธีดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมา และสร้างความเชื่อมั่น เพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจโรงแรมและบริการ สนับสนุนธุรกิจ SMEs ที่ยังขาดองค์ความรู้ และรุกตลาดส่งออกให้กว้างขึ้น เช่น แอฟริกาใต้ และตะวันออกกลาง ตลอดจนผลักดันสินค้าส่งออกช่วยเกลือเกษตรกรไทยที่กำลังอยู่ในภาวะย่ำแย่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้ได้เป็นอันดับแรก

"ที่จริงโครงการ "คนละครึ่ง" ที่รัฐบาลชุดก่อนทำไว้ถือว่าค่อนข้างดี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้จริงและดีกว่าการแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งไม่ใช่ทางออก ประเทศเรามีศักยภาพสูง แต่ต้องเกิดการหมุนเวียนเงินในร้านค้าและกระตุ้นกำลังซื้อให้เห็นผลอย่างชัดเจนให้ได้ ถัดมาคือแก้ปัญหาเจรจาเรื่องการส่งออก และควรหาทางดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับมาให้เร็วที่สุด"