"กอบศักดิ์" ชิงผู้ว่าแบงก์ชาติ ชู “ทีมเวิร์ก” ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไทย

24 มิ.ย. 2568 | 07:48 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มิ.ย. 2568 | 07:48 น.

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล หนึ่งในผู้ท้าชิงผู้ว่าธปท. ลั่นประเทศไทยต้องเดินหน้าอย่าง “ทีมเวิร์ก” ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกและการเมืองในประเทศ รับมือ 5 โจทย์ใหญ่ ดอกเบี้ย-ค่าเงิน-ศรัทธาเศรษฐกิจ-แรงกระแทกโลก

ช่วงบ่ายวันนี้ (24 มิ.ย.) คณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ จะเปิดให้ผู้สมัครที่ผ่านคุณสมบัติ 6 รายแสดงวิสัยทัศน์ คนละ 30 นาที เพื่อนำเสนอแนวคิด การบริหารจัดการในฐานะผู้ว่าการ ธปท. ซึ่งปรากฎว่า ผู้สมัครเดินทางมามาครบทั้ง 6 คน

หลังจบการนำเสนอ คณะกรรมการคัดเลือกฯ จะสัมภาษณ์ผู้สมัคร และสรุปรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการ ธปท. 2 คน เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาเสนอรายชื่อบุคคลที่ได้รับเลือกต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเสนอโปรดเกล้าฯแต่งตั้งต่อไป

หนึ่งในผู้สมัครที่ได้รับความสนใจไม่น้อยคือ “ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล” กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์มากมายจากภาครัฐ ภาคการเมือง และภาคเอกชน โดยเฉพาะบทบาท “ลูกหม้อ” แบงก์ชาติ ที่ในวันนี้ขอหวนคืนมารับใช้สถาบันที่เคยหล่อหลอมตนเองด้วยความตั้งใจแน่วแน่

"กอบศักดิ์" ชิงผู้ว่าแบงก์ชาติ ชู “ทีมเวิร์ก” ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไทย

ดร.กอบศักดิ์ในฐานะลูกหม้อ แบงก์ชาติ เปิดเผยถึงสาเหตุที่ตัดสินใจลงสมัครผู้ว่า ธปท.ในครั้งนี้ว่า เรามีวันนี้ได้เพราะเขา เมื่อถึงเวลา เราก็ต้องกลับไปตอบแทนบุญคุณ

ดร.กอบศักดิ์มองว่า ภารกิจของผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ในยุคนี้ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนเท่านั้น แต่ยังต้องสามารถประคับประคอง “โมเมนตัม” ทางเศรษฐกิจของประเทศท่ามกลางมรสุมการเมืองและแรงกระแทกจากความเปลี่ยนแปลงของโลกที่พร้อมจะลุกลามเข้ามาได้ทุกเมื่อ

สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี และความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เป็นเพียงตัวอย่างของแรงสั่นสะเทือนที่กำลังบีบให้ทุกประเทศต้องเลือกข้างหรือสร้างพันธมิตรใหม่เพื่อความอยู่รอดในอนาคต

“โลกกำลังก้าวสู่ความผันผวนครั้งใหม่ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทุกด้าน แม้ในขณะที่ไทยเองก็ยังเผชิญกับความเปราะบางทางการเมืองและเศรษฐกิจ การสื่อสารที่ดี ความเชื่อมั่น และการทำงานร่วมกันอย่างเป็นทีมเวิร์กจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด” ดร.กอบศักดิ์กล่าว

ดร.กอบศักดิ์เน้นย้ำถึง “5 โจทย์ใหญ่” ที่ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจโดยรวม อัตราดอกเบี้ย ค่าเงินบาท การรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการรับมือกับแรงกระแทกจากภายนอกประเทศ

โจทย์เหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยคนเพียงคนเดียว แต่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการเงิน เพื่อประคองประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้

ขณะที่ภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่า แม้ครึ่งปีแรกจะมีแนวโน้มดีในบางภาคส่วน โดยเฉพาะการส่งออกที่เติบโตถึง 18% และยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่เพิ่มขึ้น แต่ครึ่งปีหลังยังมีคำถามอีกมาก

โดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ยังไม่แน่นอน ตัวเลขนักท่องเที่ยว 35.5 ล้านคนยังไม่มีความชัดเจน ขณะที่ยอดนักท่องเที่ยว 5 เดือนแรกติดลบกว่า 2% สะท้อนถึงความไม่แน่นอนจากภัยธรรมชาติและสงครามที่อาจกดทับความเชื่อมั่นของนักเดินทางได้ตลอดเวลา

อีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่เขาชี้ให้เห็นคือภาวะ “กำลังซื้อถดถอย” ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งระดับบนและล่าง ไม่เพียงยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่หดตัว แต่ยอดซื้อในร้านสะดวกซื้อก็ไม่ดีขึ้นเช่นกัน ข้อมูลเหล่านี้ตอกย้ำว่า เศรษฐกิจต้องการแรงสนับสนุนเพิ่มเติม และหากไม่มีความกดดันจากเงินเฟ้อ ธปท.ก็ควรพิจารณาใช้เครื่องมือทางนโยบายการเงินในการช่วยพยุงเศรษฐกิจ

ต่อข้อถามถึงเสียงสะท้อนว่า ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อนั้น ในฐานะที่อยู่ในภาคธนาคารโดยตรง ดร.กอบศักดิ์ยังยืนยันว่า ปัญหาการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะต่อ SME และครัวเรือนนั้นเป็นสัญญาณเตือนเศรษฐกิจชัดเจน การเติบโตของสินเชื่อติดลบและ NPL ที่เพิ่มขึ้นทำให้ธนาคารต้องระมัดระวังมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่าเครื่องมือในการช่วย SME ยังมีอยู่ เช่น การค้ำประกันสินเชื่อของรัฐ และหากภาครัฐสามารถช่วยบริหารความเสี่ยงร่วมกับธนาคารก็จะเป็นโอกาสสำคัญในการเติมทุนให้ผู้ประกอบการฝ่าวิกฤตไปได้

ประเด็นการค้าโลกโดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของสหรัฐภายใต้นโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไทยควรใช้เป็นโอกาส สินค้าจีนที่โดนภาษีสูงถึง 54% จะเปิดช่องให้สินค้าจากประเทศอื่น รวมถึงไทย มีพื้นที่ในตลาดอเมริกันมากขึ้น รัฐบาลจึงควรร่วมมือกับภาคเอกชนและแบงก์ในการเร่งปล่อยเงินทุนหมุนเวียนสู่ภาคการผลิต เพื่อคว้าโอกาสทางการค้าที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน

สำหรับภาคการท่องเที่ยว แม้จะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ดร.กอบศักดิ์มองเห็นโอกาสจากตลาดใหม่อย่างอินเดียที่เริ่มเดินทางเข้าไทยมากขึ้น รวมถึงตลาดยุโรปและจีนบางส่วน การสร้างตลาดนำร่องโดยใช้จุดเด่นของอาหารไทย วัฒนธรรม และบริการ เป็นสิ่งที่ภาครัฐและเอกชนควรร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้ครัวเรือนไทยอย่างยั่งยืน

ดร.กอบศักดิ์ทิ้งท้ายว่า เศรษฐกิจไทยวันนี้เหมือนเรือลำหนึ่งที่ลอยอยู่กลางมรสุม เราอาจไม่สามารถหลีกพ้นคลื่นลมได้ในทันที แต่เราสามารถเตรียมแห อวน อุปกรณ์ และคนในเรือให้พร้อมที่สุดเพื่อรับมือกับอนาคตที่คาดเดาไม่ได้

เพราะโจทย์สำคัญในวันนี้ไม่ใช่การเติบโตอย่างร้อนแรง แต่คือ “การอยู่รอด” อย่างมั่นคง เพื่อสร้างโอกาสใหม่เมื่อฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้ง

ดังนั้น มองไปข้างหน้า มีแต่ปัญหาและปัญหาเหล่านั้นพร้อมจะลุกลามมายังเมืองไทย  จึงมีความจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเป็น “ทีมเวิร์ก” และต้องเดินหน้าหาทางออกให้ได้

ขณะนี้เมืองไทยมีปัญหาหลากหลาย และเรื่องโมเมนตัมเป็นเรื่องที่ต้องจัดการให้เศรษฐกิจไปข้างหน้า หรือทำอย่างไรให้การกระตุ้นเศรษฐกิจไปข้างหน้า เพื่อรักษาโมเมนตัม เพราะเศรษฐกิจชะลอการจะกลับมา “ยากมาก” และหากชะลอตัวในท่ามกลางที่ทุกคนจับจ้องว่าประเทศไหนจะชะลอหรือประเทศไทยไปไม่ได้ย่อมเป็นนัยยะตามมาหลายอย่าง