จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งล่าสุดมีมติเห็นชอบโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ พร้อมให้รับความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ไปพิจารณา ซึ่งหนึ่งในนั้นมีข้อเสนอของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีเนื้อหาตอนหนึ่งแจ้งถึงการดำเนินงานของ ทอท. ว่า
ปัจจุบันมีปริมาณความต้องการเดินทางและขนส่งทางอากาศ โดยเฉพาะท่าอากาศยานที่เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดปัญหาความแออัดคับคั่งของผู้โดยสารในท่าอากาศยาน และคลังสินค้า จนอาจจะไม่สามารถรองรับนโยบาย ของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการผลักดันการพัฒนาท่าอากาศยานในการเป็นศูนย์กลางด้านการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค
ดังนั้น เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
1. มอบหมายให้ ทอท. เร่งพิจารณาปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบริหารจัดการของท่าอากาศยาน โดยการจัดหาระบบ/เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารท่าอากาศยานหลักดังกล่าว โดยเฉพาะกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง
รวมทั้งจัดระเบียบการจราจรบริเวณชานชลารับ-ส่ง ผู้โดยสาร โดยรอบท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบเป็นลำดับแรก และเร่งดำเนินโครงการพัฒนาที่ได้รับอนุมัติแล้ว โดยเฉพาะการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
2. มอบหมายให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เร่งทบทวนแผนแม่บทการจัดตั้งสนามบินพาณิชย์ของประเทศ (National Commercial Airport Master Plan) เพื่อกำหนดกรอบการพัฒนาระบบสนามบินในระยะ 20 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2561-2580) ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ในการกำหนดแนวทางการพัฒนาท่าอากาศยานในความรับผิดชอบให้สอดคล้องและบูรณาการกัน
รวมถึงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ ที่ปัจจุบัน ทอท. อยู่ระหว่างดำเนินการ ปรับปรุงแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามมติคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่ม ขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
โดยให้ความสำคัญกับช่วงระยะเวลาการพัฒนา (Phase) ที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ ทอท. จัดลำดับความสำคัญของแผนงาน หรือกิจกรรมการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
พร้อมกันนี้ สศช. ยังระบุถึงโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 โดยเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรมอบหมายให้ ทอท. พิจารณาดำเนินการ ดังนี้
1. พิจารณาตรวจสอบและเปรียบเทียบสมมติฐานที่ใช้ประมาณการผลตอบแทนทางการเงินของโครงการ และโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการ รายที่ 3 ทั้งกรอบวงเงินลงทุน อัตราค่าบริการ อัตราผลตอบแทนที่เอกชนได้รับจากการเข้าร่วมลงทุนให้มีความสอดคล้องใกล้เคียงกัน และอยู่บนสมมติฐานที่มีการเปิดประมูลตามที่ ทอท. เสนอและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการจัดทำเอกสารข้อเสนอร่วมลงทุน (RFP) ของทั้ง 2 โครงการ
พร้อมทั้งเปิดกว้างให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการยื่นข้อเสนอเข้าร่วมลงทุนในโครงการ ซึ่งจะช่วยให้ ทอท. สามารถคัดเลือกเอกชนที่มีคุณภาพภายใต้กรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
2. พิจารณากำหนดเงื่อนไขการส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนรายใหม่หรือระยะเวลาเริ่มต้นของสัญญา โดยต้องพิจารณาหาข้อยุติในประเด็นที่สำคัญอย่างน้อย 2 ประเด็น ได้แก่
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ ทอท. มีภาระค่าใช้จ่ายในการขนย้ายสินค้าดังกล่าวในช่วงเปลี่ยนผ่านผู้ประกอบการ และสามารถส่งมอบพื้นที่ให้แก่เอกชนรายใหม่ได้ทันทีที่สิ้นสุดสัญญาตามที่กำหนดไว้ ในสมมติฐานของโครงการฯ
3. พิจารณาตรวจสอบรายการอุปกรณ์และระบบของ WFSPG เนื่องจากสัญญาร่วมลงทุน ระหว่าง ทอท. และ WFSPG ได้กำหนดให้ ทอท. มีสิทธิตัดสินใจในการซื้อทรัพย์สินทั้งหมดหรือบางส่วน จาก WFSPG ได้ในราคามูลค่าตามบัญชี ซึ่งในกรณีที่ ทอท. พิจารณาแล้ว เห็นว่า มีอุปกรณ์และหรือระบบที่สามารถใช้งานต่อเนื่องและ ทอท. ตัดสินใจที่จะจัดซื้ออุปกรณ์ และหรือระบบดังกล่าว เพื่อใช้ประโยชน์ในการให้บริการคลังสินค้า
เห็นควรให้ ทอท. เปิดกว้างให้ผู้ประกอบการคลังสินค้าทั้งที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงผู้ยื่นข้อเสนอโครงการฯ และโครงการฯ รายที่ 3 มีสิทธิเข้าร่วมประมูลเพื่อซื้ออุปกรณ์ และระบบดังกล่าว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการทุกราย สำหรับอุปกรณ์และระบบที่ไม่สามารถใช้งานได้ ทอท. ต้องกำกับให้ WFSPG นำอุปกรณ์และระบบออกจากคลังสินค้าภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา เพื่อให้สามารถส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้ประกอบการรายใหม่ได้ตามเงื่อนไขของโครงการฯ ที่กำหนดไว้
4. กำหนดระดับการให้บริการ (LOS) พร้อมทั้งดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพ การดำเนินการคลังสินค้าที่ชัดเจน อาทิ ระยะเวลาในการขนส่งสินค้า อัตราความเสียหาย/สูญหายของสินค้า อัตราการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ภายในคลังสินค้า ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ เพื่อให้ ทอท. และคณะกรรมการ กำกับดูแล ตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 สามารถกำกับ ดูแล ติดตาม การดำเนินงานของเอกชนคู่สัญญาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามปัจจุบัน ทอท. อยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้ประกอบการโครงการฯ รายที่ 3 และหากได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการ จะทำให้มีการคัดเลือกเอกชนในช่วงเวลาเดียวกัน หากทั้ง 2 โครงการเกิดความล่าช้า อาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศได้
ดังนั้น จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามให้ ทอท. ดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมทั้งควรกำหนดให้ ทอท. จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความล่าช้าด้วย