กต. แถลง ผิดหวัง JBC กัมพูชาไม่ถกพื้นที่พิพาท 4 จุด ยันไม่รับอำนาจศาลโลก

16 มิ.ย. 2568 | 07:58 น.
อัปเดตล่าสุด :16 มิ.ย. 2568 | 07:58 น.

กต.ไทยเผยผลประชุม JBC ที่พนมเปญ ผิดหวังกัมพูชาไม่หารือ 4 พื้นที่พิพาท ยันไม่รับอำนาจศาลโลก เดินหน้ากลไกทวิภาคี ห่วงประชาชนได้รับผลกระทบจากคำขู่ปิดด่าน

ในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ครั้งที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 มิถุนายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ฝ่ายกัมพูชาเลือกไม่หารือในประเด็นพื้นที่พิพาท 4 จุดสำคัญ ได้แก่ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ทั้งที่ประเด็นดังกล่าวอยู่ในขอบเขตการทำงานของ JBC ตามข้อตกลง TOR ซึ่งควรเป็นการพูดคุยในเชิงเทคนิคเพื่อหาทางออกร่วมกัน

(16 มิ.ย. 2568) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ไทยยึดมั่นในกลไกทวิภาคีด้วยความสุจริตใจ แต่การที่กัมพูชานำประเด็น 4 พื้นที่ไปยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) โดยไม่หารือกับฝ่ายไทยก่อนนั้น ถือเป็นการปิดโอกาสสำคัญในการเจรจาแบบเปิดอก ซึ่งสร้างความผิดหวังอย่างยิ่งแก่ฝ่ายไทย

โฆษก กต. ยืนยันชัดเจนว่า ไทยไม่รับเขตอำนาจของศาลโลก โดยจุดยืนนี้ถูกย้ำในที่ประชุม JBC และฝ่ายกัมพูชาได้รับทราบแล้ว พร้อมระบุว่ากระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมแนวทางรับมือไว้ล่วงหน้า โดยยึดหลักสากลในการเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ดีและหลีกเลี่ยงการยื่นคำขาดต่อกัน

ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาเคยแสดงท่าทีขู่จะปิดด่านชายแดนและห้ามนำเข้าสินค้าจากไทย หากไทยไม่เปิดด่านทั้งหมด ฝ่ายไทยย้ำว่าการตอบโต้ใดๆ ต้องอยู่บนหลักวิจารณญาณ ความมีสติ และต้องไม่กระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลเสียโดยตรงจากความขัดแย้ง

นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กล่าวถึงกรณีการยื่นฟ้องต่อ ICJ ว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากทั้งฝ่ายกัมพูชาและศาลโลก จึงยังไม่สามารถประเมินได้ว่ากัมพูชายื่นฟ้องในประเด็นใด ใช้ฐานอำนาจใด และมีเนื้อหาอย่างไร แต่รัฐบาลไทย โดยกรมสนธิสัญญาฯ ได้เตรียมพร้อมรับมือเต็มที่ พร้อมทีมที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศระดับโลก และกำลังศึกษาประเด็นทางกฎหมายทุกความเป็นไปได้

ทั้งนี้ นายเบญจมินทร์ย้ำว่า การนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายยอมรับอำนาจศาล ซึ่งไทยได้ปฏิเสธอำนาจของ ICJ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 เช่นเดียวกับอีก 118 ประเทศทั่วโลก พร้อมระบุว่า MOU 43 ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างไทย-กัมพูชาในเรื่องปักปันเขตแดน กำหนดไว้ชัดเจนว่าหากมีข้อพิพาท ต้องเจรจากันก่อน ไม่ใช่ข้ามขั้นตอน

ด้าน นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย เผยว่า แม้การหารือในประเด็นพื้นที่พิพาท 4 จุดจะไม่เกิดขึ้น แต่ภาพรวมของการประชุม JBC ครั้งนี้ถือว่าราบรื่นที่สุดในรอบหลายปี โดยทั้งสองฝ่ายสามารถเห็นชอบในประเด็นด้านเทคนิคหลายด้าน เช่น การสำรวจหลักเขตแดนเดิม 45 หลักจากทั้งหมด 74 หลักที่ปักไว้ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 ซึ่งแล้วเสร็จไปตั้งแต่ปี 2561 การเห็นชอบให้ใช้เทคโนโลยี LiDAR และโดรนติดกล้องเพื่อเร่งกระบวนการสำรวจพื้นที่ และการเตรียมความพร้อมในการสร้างแผนที่ฉบับใหม่ร่วมกัน

ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องมาตราส่วนของแผนที่ เช่น 1:200,000 ที่ฝ่ายกัมพูชานำมาใช้ ยังไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายไทย และไม่มีการหารือในที่ประชุม เนื่องจากไทยยืนยันใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งละเอียดและเหมาะกับการใช้ในเชิงยุทธศาสตร์มากกว่า

ในขณะที่โฆษก กต. กล่าวย้ำถึงบทบาทของรัฐบาลไทยว่าจะไม่ผลักดันแรงงานข้ามชาติออกนอกประเทศ หากแรงงานต้องการกลับประเทศต้นทางก็เป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละคน พร้อมยืนยันว่า การดำเนินมาตรการตอบโต้ของไทยที่ผ่านมาเป็นระดับรัฐบาล ไม่มีเจตนากระทบต่อประชาชน และไม่เคยใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการสื่อสารทางการทูต

สุดท้าย นายนิกรเดชยังอธิบายถึงเหตุผลที่ไม่ได้แถลงข่าวทันทีหลังเสร็จสิ้นการประชุม JBC ว่า คณะผู้แทนเดินทางกลับถึงไทยในเวลา 21.00 น. ของวันที่ 15 มิถุนายน และไม่เหมาะสมที่จะเรียกแถลงข่าวเกือบเที่ยงคืน จึงเลือกออกเป็นข่าวประชาสัมพันธ์ (press release) ก่อนจะเชิญสื่อมวลชนมาแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มิถุนายน

แม้ยังมีความขัดแย้งในบางประเด็น แต่ฝ่ายไทยยังคงมุ่งมั่นใช้กลไกทวิภาคี ทั้ง JBC, GBC และ RBC เพื่อแก้ไขข้อพิพาทเรื่องเขตแดนต่อไป โดยย้ำว่าแนวทางนี้ยังมีประสิทธิภาพ และขอให้ฝ่ายกัมพูชาหันกลับมาใช้เครื่องมือความร่วมมือที่มีอยู่ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืนและสันติ