ส.อ.ท.ชี้กัมพูชาไม่กล้าตัดสินค้าไทย เสี่ยงประชาชนเดือดร้อน

13 มิ.ย. 2568 | 10:49 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มิ.ย. 2568 | 11:10 น.

ส.อ.ท.เชื่อกัมพูชายังไม่กล้าตัดสินค้าไทยในระยะสั้น เหตุเสี่ยงประชาชนเดือดร้อน หวังฝ่ายความมั่นคงคลี่คลายสถานการณ์ได้โดยเร็ว

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงประเด็นที่กัมพูชาออก 6 มาตรการกดดันให้ประเทศไทยเปิดจุดผ่านแดนว่า ยังไม่มีผลกระทบในเวลานี้ เนื่องจากเป็นเพียงแค่ข้อต่อรอง ส่วนการดำเนินการของไทยในปัจจุบันที่มีการปิดด่านเร็วขึ้น ภาคเศรษฐกิจการค้าก็ยังไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน

ทั้งนี้ ส่วนที่รับผลกระทบก็คือการขนส่งสินค้าที่ไม่ได้รับความสะดวกทั้ง 2 ฝ่าย จากการตรวจสอบที่ล่าช้าตามขั้นตอนของการยกระดับมาตรการค้าชายแดนดังกล่าวที่เกิดขึ้น รวมถึงเวลาผ่านแดนที่ลดลงทำให้สินค้ามีการตกค้าง ซึ่งมีผลทำให้ยอดขายลดลง โดยหากเป็นไปในรูปแบบดังกล่าวในระยะยาวจะไม่เป็นผลดีกับทั้งไทยและกัมพูชา

ขณะที่การปิดรับท่องเที่ยวจากกัมพูชา และไม่ให้นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปมีผลทำให้กัมพูชาได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะจากกลุ่มนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก หรือนักเสี่ยงโชคที่เดินไปกาสิโนในกัมพูชา ซึ่งส่งผลทำให้กัมพูชาขาดรายได้เป็นจำนวนมาก  

“เหล่านี้เป็นเหตุผลที่ทำให้กัมพูชาต้องออกมายื่นข้อเสนอ 6 ข้อดังกล่าว เพื่อต่อรองให้ไทยเปิดด่านกลับไปเหมือนเดิม เนื่องจากพรุ่งนี้ (14 มิ.ย. 68) จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) และมีการเจรจาระหว่างกัน โดยเชื่อว่า 1 ใน 6 ข้อจะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในที่ประชุมเพื่อเป็นข้อเสนอ สร้างเงื่อนไขเพื่อต่อรอง“

ส.อ.ท.ชี้กัมพูชาไม่กล้าตัดสินค้าไทย เสี่ยงประชาชนเดือดร้อน

โดยกรณีดังกล่าวนี้หากเปรียบไปก็คล้ยกับการที่ไทยออกมาตรการเพื่อตอบโต้จากระดับเบาก่อนที่จะไปถึงหนักที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเปิด ปิดด่านตามเวลาให้เร็วขึ้น หากยังไม่ยอมถอนกำลังทหารออกจากชายแดนก็จะเพิ่มมาตรการไปสู่การตัดไฟฟ้า อินเตอร์เน็ต ซึ่งไทยก็ยังไม่ได้ดำเนินการ เป็นการต่อรองเท่านั้น

นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า จากมาตรการที่กัมพูชาจะไม่ซื้อสินค้าจากไทยนั้น ปัจจุบันเท่าที่สำรวจจากผู้ประกอบการในกัมพูชาพบว่า ยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะผู้ที่เคลื่อนไหวก็เป็นเพียงกลุ่มชาตินิยม แบบหัวรุนแรง แต่ประชาชนกัมพูชาส่วนใหญ่ยังดำเนินชีวิต และซื้อสินค้าตามปกติ เพียงแต่การขนส่งสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการปรับเวลาเปิด ปิดด่านทำให้มีปริมาณสินค้าลดลงเท่านั้น เพียงแต่ในระยะยาวหากสินค้าส่งออกไปเติมไม่เพียงพอก็อาจจะได้รับผลกระทบ

“การไม่ซื้อสินค้าไทยนั้น มองว่าในระยะยาวอาจจะทำได้ แต่ในระยะสั้นเชื่อว่าคงไม่ทำ เพราะหากสินค้าจากไทยขาดประชาขนกัมพูาเองก็เดือดร้อนเช่นเดียวกัน”

ส่วนประเด็นที่จะดึงแรงงานกลับประเทศนั้น เท่าที่ได้ตรวจสอบกับกระทรวงแรงงานพบว่า แรงงานที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องมีอยู่ประมาณ 4.3 แสนราย ขณะที่แรงงานผิดกฎหมายที่ลลักลอบเข้ามาน่าจะมีอีกประมาณ 2-3 เท่า โดยรวมก็อยู่ที่ประมาณกว่า 1 ล้านคน ซึ่งน้อยกว่าแรงงานจากประเทศเมียนมา

โดยกระจายไปอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว บริการ และงานที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น ซึ่งแรงงานไทยไม่ทำ และอยู่ในภาคการเกษตรอีกบางส่วน โดยเป็นประเด็นที่ไม่น่าห่วง เพราะเศรษฐกิจของกัมพูชาก็ไม่ค่อยดี และไม่น่าจะมีงานให้แรงงงานดังกล่าวเหล่านี้ทำเมื่อต้องกลับประเทศ

“เชื่อว่าแรงงานเหล่านี้กว่า 1 ล้านคนดังกล่าวไม่ต้องการกลับประเทศ โดยเฉพาะแรงงานที่ผิดกฎหมาย รวมถึงแรงงานในระบบบางส่วน เพราะส่วนใหญ่เข้ามาทำงานเพื่อส่งเงินไปยังที่บ้านเพื่อใช้จ่ายในครอบครัว“ 

นอกจากนี้ ยังมองว่าเมื่อนำแรงงานกลับประเทศยิ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาทางสังคม และเศรษฐกิจ เนื่องจากไม่มีงานให้ทำ รายได้ไม่สูงจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร ดังนั้น จึงมองว่าประเด็นนี้ก็ไม่น่าห่วงเท่าใดนัก”

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ในฐานะภาคเอกชนหวังว่าฝ่ายความมั่นคงด้านต่างประเทศจะสามารถทำให้สถานการณ์คลี่คลาย และกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รวมถึงทำให้ทั้งไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด มีการซื้อขายผ่านแดนกันได้เหมือนเดิมโดยเร็ว ไม่ยืดเยื้อ หรือบานปลายไปมากกว่านี้