กรณีมีประชาชนผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อดัง เนต้า ได้ร้องเรียนถึงปัญหาการใช้บริการหลายรูปแบบ อีกทั้งภาครัฐยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของบริษัท ซึ่งอาจไม่สามารถก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศ ได้ตามมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี 3.0) นั้น
ล่าสุด นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เรื่องนี้กรมสรรพสามิตได้มีการกำกับดูแลติดตามอยู่แล้ว เพื่อให้ค่ายรถที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า ปฏิบัติตามเงื่อนไข แต่หากบริษัทใดไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการผลิตรถชดเชย จะต้องคืนเงินอุดหนุนที่ได้รับไปให้กับรัฐ และต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นแนวทางที่ใช้ปฏิบัติกับทุกค่ายรถยนต์เท่าเทียมกัน
“การได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล จะต้องตามมาด้วยเงื่อนไขการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ภายในประเทศทดแทนการนำเข้า หากไม่สามารถทำได้ตามเงื่อนไขจะต้องคืนเงินที่ได้รับอุดหนุนดังกล่าวด้วย”
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แนวทางการแก้ปัญหาบริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ที่มีปัญหาการขาดสภาพคล่องจากบริษัทแม่ที่จีน และมีแนวโน้มไม่สามารถตั้งโรงงานรถยนต์ผลิตรถชดเชยในไทยได้ตามเงื่อนไขอีวี 3.0 นั้น เรื่องนี้กระทรวงการคลังได้รับทราบแล้ว โดยกรมสรรพสามิตได้ติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิด ซึ่งได้หารือดูแผนการผลิต
ขณะเดียวกัน ในเบื้องต้นจะรายงานสถานการณ์ รวมถึงแนวทางการแก้ไขให้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด อีวี) พิจารณาหาทางออกในเรื่องนี้
ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าอาจขอให้ เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) ได้ใช้สิทธิเข้าร่วมมาตรการอีวี 3.5 เพื่อขยายเวลาชดเชยการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกไป ช่วยต่อลมหายใจให้กับดีลเลอร์ ซัพพลายเชนผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชน เพราะทางเนต้าแจ้งว่า ขณะนี้ได้ผู้ลงทุนรายใหม่แล้ว และเตรียมประกาศโครงสร้างบริษัทใหม่ในช่วงกลางเดือน มิ.ย.นี้ ซึ่งจะทำให้ปัญหาการขาดสภาพคล่อง รวมถึงการขาดแคลนอะไหล่ดังกล่าวคลี่คลาย
สำหรับปัจจุบัน เนต้า มีเงื่อนไขต้องผลิตชดเชยรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ตามมาตรการอีวี 3.0 ให้ได้ 1.5 เท่าของยอดรถที่เข้าร่วมมาตรการ ในสิ้นปี 68 คิดเป็นจำนวน 19,000 คัน
แต่หากมีการเข้าร่วมมาตรการอีวี 3.5 แล้ว จะได้รับการขยายเวลาผลิตรถเพิ่มไปถึงปลายปี 70 แต่ก็ต้องมียอดผลิตรถชดเชยเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เท่า พร้อมกับต้องยอมรับเงื่อนไขว่า จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจนกว่าจะผลิตได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่ยังคงได้รับสิทธิลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% อยู่
“ทางเลือกนี้จะช่วยประคับประคองอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าออกไปก่อน เพราะหากมีบริษัทใดบริษัทหนึ่งปิดกิจการตอนนี้ จะไม่ส่งผลดี และทำลายภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบ ทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นต่อรถยนต์ไฟฟ้า เพราะมาตรการอีวีที่รัฐบาลออกมา มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยให้ผู้ประกอบการนำเงินไปลงทุนสร้างโรงงานแบตเตอรี่ โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และจ้างงานในไทย เป็นต้น”