ก่อนการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Panitan Wattanayagorn” ในวันที่ 12 มิถุนายน (วันนี้) ในหัวข้อ “สร้างความเจ็บปวด ไม่ใช่อำนวยความสะดวก” เพื่อแสดงความเห็นต่อท่าทีของไทยในเวทีการเจรจากับกัมพูชาปมปัญหาเขตชายแดน โดยเน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยต้องยกระดับการตอบโต้ให้ “กัมพูชาเจ็บปวด” มากพอจนต้องถอย ไม่ใช่แค่เปิดทางให้อีกฝ่ายเดินหน้าอย่างราบรื่น
ดร.ปณิธานเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา โดยระบุว่า “ถูกต้องแล้วที่เราไม่ต้องการรบกับกัมพูชา” แต่ในขณะเดียวกัน ไทยก็จำเป็นต้อง “เตรียมตัวให้พร้อมรบมากขึ้นกว่านี้” เพื่อยับยั้งสถานการณ์ไม่ให้ลุกลามถึงขั้นปะทะจริง โดยเฉพาะในประเด็นที่กัมพูชาได้รับการสนับสนุนจากจีน ทั้งในด้านกำลังทหารและอาวุธ ที่มีรายงานว่ามีการนำเข้ามายังพื้นที่พิพาทและพื้นที่ชายแดนซึ่งเกิดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศมาอย่างยาวนาน
สิ่งที่ดร.ปณิธานเสนออย่างชัดเจนก่อนการประชุม JBC คือ ไทยต้องแสดงจุดยืนที่แข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่แค่ดำเนินการตามแนวทางประนีประนอมแบบเดิม โดยจำเป็นต้อง “สร้างความไม่สะดวก” ให้กับกัมพูชาในหลายด้านอย่างเพียงพอ เพื่อให้ฝ่ายนั้นตัดสินใจถอนกำลังทหารและอาวุธจากจีนออกจากพื้นที่ ไม่ใช่แค่ “ปรับกำลัง” หรือ “กลับหัวนอน” อย่างที่สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาให้ข่าวไว้
พร้อมย้ำว่า หากต้องการผลลัพธ์ที่แท้จริง ไทยจะต้องผลักดันให้การพูดคุยกลับเข้าสู่กรอบ JBC/MOU และกรอบความร่วมมืออื่นๆ ที่มีมานานกว่า 30 ปี เช่น GBC, RBC, TBC ให้เข้มข้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการปะทะทางทหารและการใช้อาวุธ ซึ่งควรถูกหยิบยกขึ้นมาหารืออย่างจริงจัง พร้อมทั้งกำหนดแนวทางป้องกันปัญหาในอนาคต ไม่ใช่ปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อเช่นที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ดร.ปณิธานยังเสนออีกทางเลือกหนึ่งที่ถือว่าหนักแน่นยิ่งกว่า นั่นคือ หากการเจรจาในกรอบเดิมยังไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมได้ ก็ควร “ยกเลิกกรอบเดิมๆ เหล่านั้นเสียเลย” และช่วยกันสร้างกรอบใหม่ๆ ขึ้นมา แม้อาจก่อให้เกิดความโกลาหล ความไม่สะดวก และความเจ็บปวดในช่วงแรก แต่ในระยะยาวจะทำให้ไทยอยู่ในจุดที่ได้เปรียบและเป็นผลดีต่อความมั่นคงของประเทศ
ในมุมมองระยะยาว ดร.ปณิธานเสนอว่า รัฐบาลไทยควรหามาตรการใหม่ๆ ที่ชัดเจน โปร่งใส และสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้กับกัมพูชา โดยเฉพาะในประเด็นด้านพลังงาน พื้นที่ชายแดน และการปราบปรามเครือข่ายแก๊งผิดกฎหมายที่แสวงหาผลประโยชน์จากช่องทางข้ามพรมแดน ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความมั่นคง แต่ยังทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองประเทศด้วย
สาระสำคัญคือการเน้นย้ำว่า หากไทยต้องการสร้างความสัมพันธ์แบบ “เพื่อนบ้านที่ดี” กับกัมพูชาอย่างจริงจัง รัฐบาลต้องเลิกแนวทางแบบ “เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” แล้วหันมาใช้กลยุทธ์ที่เด็ดขาด กล้าหาญ และมุ่งเน้นผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนที่เคยเกิดขึ้นตลอด 75 ปีที่ผ่านมา