นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในร่าง พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ว่า กรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคประชาชน อภิปรายในประเด็นการฮั้วประมูลของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทนั้น
สำหรับการจัดทำคำของบประมาณของกระทรวงคมนาคมนั้น ได้ให้นโยบายไว้ว่าให้ทุกหน่วยงานพิจารณาให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ โดยอิงตามหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน ความพร้อม ความสอดคล้องกับนโยบาย
ซึ่งภารกิจของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบทนั้น มี 3 เรื่องที่สำคัญด้วยกัน คือ 1. เร่งเติมเต็มโครงข่ายทางหลวงของประเทศให้มีความสมบูรณ์ สร้างโอกาสการเดินทางและขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย
2.บำรุงรักษาทางหลวง/ทางหลวงชนบท ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ปลอดภัยตลอดเวลา และ3.อำนวยความสะดวกในการจราจรทางหลวง/ทางหลวงชนบทให้ประชาชนเดินทางด้วยความปลอดภัยอำนวยความปลอดภัยให้ผู้ใช้ทาง เช่น ระบบไฟฟ้า แสงสว่าง
ทั้งนี้ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการประมูลด้วยความสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ และป้องกันการฮั้วประมูลมาโดยตลอด ซึ่งการประมูลงานโครงการนั้น ตาม พรบ.จัดซื้อจัดจ้าง ปี 2560 ได้วางกรอบไว้ให้มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน
ไม่เฉพาะกระทรวงคมนาคมเท่านั้น ตั้งแต่การขึ้นทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นหลักเกณฑ์และขั้นตอนของกรมบัญชีกลาง การคิดราคากลาง มีหลักเกณฑ์ของกรมบัญชีกลาง และราคาอ้างอิงจากกระทรวงพาณิชย์ ขั้นตอน E- bidding ก็ใช้ระบบของกรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นระบบที่มีความโปร่งใสเป็นธรรมตรวจสอบได้
"นอกจากนี้ก่อนการลงนามในสัญญา ต้องได้รับการตรวจสอบจากสำนักงบประมาณอีกด้วย อีกทั้งยังมี พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาของรัฐ พ.ศ. 2542 ควบคุมไว้อีกชั้นหนึ่งเพราะฉะนั้นจากกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ของภาครัฐที่กล่าวมานี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่หน่วยงานของกระทรวงคมนาคมจะไปดำเนินการที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้รับเหมามีการฮั้วประมูลได้" นายสุริยะ กล่าว
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นกล่าวหาว่าการที่มีผู้รับเหมาชั้นพิเศษซึ่งมีเพียง 80 ราย ทำให้เกิดการฮั้วประมูล ในโครงการของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท เป็นเสือนอนกินได้กำไรมหาศาลเป็นกอบเป็นกำ ทำให้มีการซุกซ่อนเงินทอนอะไรต่าง ๆ นั้น
ผมขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ทั้งนี้การจัดชั้นผู้รับเหมาชั้นพิเศษนั้นดำเนินการโดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังไม่ใช่กระทรวงคมนาคม และเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่ท่านผู้อภิปรายนำมากล่าวหานั้น ไม่สมเหตุสมผลบิดเบือนจากข้อเท็จจริง
ผมได้ให้กรมทางหลวงตรวจสอบข้อมูลผลประกอบการของผู้รับเหมาชั้นพิเศษ 80 ราย ย้อนหลังในช่วงปี 2563-2566 พบว่า ผู้รับเหมาทั้ง 80 ราย มีรายได้รวมกัน ประมาณปีละเกือบ 2 แสนล้านบาท แต่มีกำไรปีนึงรวมกันแล้วเฉลี่ยประมาณปีละพันกว่าล้านบาท หรือ คิดเป็นประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ซึ่งไม่ได้มีกำไรเป็นกอบเป็นกำดังที่กล่าวหา โดยปี 2565 พบว่ามีตัวเลขผลประกอบการขาดทุนซะด้วยซ้ำ
"ดังนั้นจากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ผู้รับเหมามีกำไรเพียง 0.5% จะเอาเงินทอนที่ไหนถึงกว่าปีละ 8พันล้านบาท ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าข้อกล่าวหาของผู้อภิปรายไม่เป็นความจริง" นายสุริยะ กล่าว
ขณะที่ประเด็นการแบ่งตอนโครงการที่กีดกันไม่ให้ผู้รับเหมาชั้น 1 เข้าร่วมประกวดราคาได้ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับเหมาชั้นพิเศษนั้นการแบ่งสัญญาโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ต้องการผู้รับเหมาที่มีศักยภาพเข้ามาทำงานออกเป็นตอนๆ จำเป็นต้องพิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็นหลายประการ ทั้งเรื่องลักษณะของงาน รูปแบบทางวิศวกรรม ความต่อเนื่องของโครงการ ความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงศักยภาพความพร้อมของผู้รับเหมาที่จะมาทำงานด้วย
ดังนั้นในส่วนที่ สส.วิโรจน์ ยกตัวอย่างการแบ่งสัญญาโครงการทางหลวงหมายเลข 118 วงเงินรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท ที่กรมทางหลวงแบ่งงานออกเป็น 2 ตอน ตอนละ 750 ล้านบาท โดยตั้งข้อสังเกตว่าหากแบ่งเป็น 3 ตอนๆ ละ 500 ล้านบาท เพื่อให้ผู้รับเหมาชั้น 1 เข้าร่วมประมูลได้ อาจได้ราคาประมูลต่ำกว่าราคากลางมากๆ จะช่วยให้ประเทศสามารถประหยัดงบประมาณได้นั้น
"ท่านคงจะใช้จินตนาการมากเกินไปหน่อย จนลืมข้อเท็จจริงไปว่า การแบ่งงานเพิ่มเป็น 3 ตอน จะทำให้มีค่าใช้จ่าย Overhead ต่างๆ เพิ่มขึ้นตามมา จนทำให้ราคากลางของโครงการเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ส่งผลต่อภาระงบประมาณของประเทศ แต่พอถึงขั้นตอนการประมูล ใครจะชนะประมูล ด้วยราคาเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ คงเป็นได้แค่เพียงจินตนาการแบบที่ท่าน สส. วิโรจน์ได้อภิปรายมานี้" นายสุริยะ กล่าว