วันนี้ (27 พ.ค. 68) ที่ศาลปกครองกลาง น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค พร้อมด้วยนายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค เดินทางเข้ายื่นฟ้องต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงาน กสทช. และเลขาธิการ กสทช.
คำฟ้องดังกล่าวขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาเพิกถอน ประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลในย่าน 2100 MHz และ 2300 MHz รวมถึงประกาศสำนักงาน กสทช. ที่ออกตามมาลงวันที่ 29 เมษายน 2568 โดยระบุว่าเนื้อหาในประกาศดังกล่าวมีช่องโหว่ที่อาจเอื้อต่อการผูกขาด และทำให้รัฐสูญเสียรายได้อย่างไม่เหมาะสม
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน และมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ระงับการบังคับใช้ประกาศทั้งสองฉบับ จนกว่าคดีจะมีคำพิพากษาหรือถึงที่สุด
น.ส.สุภิญญา ระบุว่า จุดประสงค์ของการฟ้องคดีในครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อล้มการประมูลคลื่นที่กำหนดไว้ในวันที่ 29 มิถุนายน 2568 แต่เพื่อเรียกร้องให้ กสทช. ทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์การประมูล ให้เอื้อต่อการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาด และกำหนดกลไกควบคุมคุณภาพบริการหลังการประมูล เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องตกเป็นผู้เสียเปรียบในตลาดที่ไม่มีทางเลือก
“วันนี้ตลาดโทรคมนาคมไทยเหลือผู้เล่นหลักเพียง 2 รายคือ AIS และ TRUE ที่รวมกันครองส่วนแบ่งกว่า 97% การเปิดประมูลโดยไม่มีหลักเกณฑ์ป้องกันการผูกขาด ถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อสาธารณะ” น.ส.สุภิญญา กล่าว
จากสถานการณ์ในปัจจุบัน การควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดลดลงอย่างมาก ขณะเดียวกัน บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายสำคัญจากภาครัฐ กลับยังไม่มีความชัดเจนในการเข้าร่วมประมูล ทั้งที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่ามีความตั้งใจจะเข้าร่วม
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏคือ NT ไม่มีอุปกรณ์โครงข่ายรองรับคลื่น 2100 และ 2300 MHz ทำให้โอกาสในการเข้าร่วมประมูลครั้งนี้ลดลงแทบเป็นศูนย์ ในขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่ทั้งสองรายมีความพร้อมอย่างเต็มที่ทั้งทางเทคนิคและการเงิน
นอกจากนั้น สภาผู้บริโภคยังชี้ว่า การกำหนดราคาขั้นต่ำในการประมูลต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็น เมื่อเทียบกับรายได้จากการเช่าคลื่นในอดีต ซึ่งอาจทำให้รัฐสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล ทั้งยังส่งผลเสียต่อผู้บริโภคที่อาจต้องเผชิญกับค่าบริการสูงขึ้น และคุณภาพบริการที่ด้อยลงในระบบผูกขาด
“เมื่อไม่มีผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาด ก็ยิ่งขาดแรงจูงใจให้เกิดการแข่งขันในด้านคุณภาพและราคา ซึ่งท้ายที่สุดผู้ที่เสียประโยชน์คือประชาชน” น.ส.สุภิญญา กล่าว
ก่อนหน้านี้ สภาผู้บริโภคได้ยื่นหนังสือถึง กสทช. คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ทบทวนการจัดประมูล แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ทำให้ต้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวม