ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นหนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มประชาชนรายได้น้อยและผู้ที่เข้าถึงบริการทางการเงินในระบบได้ยาก หรือที่เรียกกันในแง่ของการพัฒนาเศรษฐกิจว่า “Financial Inclusion” ซึ่งหมายถึงการสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง
จากข้อมูลรายงานล่าสุดพบว่า ประเทศไทยยังคงมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูงมาก ประชากรเพียง 20% ที่มีรายได้สูงสุด ถือครองรายได้รวมถึง 54.2% ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่กลุ่มประชากร 20% ที่จนที่สุด มีรายได้รวมเพียง 4.8% เท่านั้น
ขณะเดียวกันยังมีประชาชนกว่า 5.3 ล้านคนที่อยู่ใต้เส้นความยากจน ทำให้ประชาชนกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางการเงินและจำเป็นต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงและวิธีการทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรม สร้างภาระหนักหน่วงทั้งทางการเงินและจิตใจ
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 ได้มีการจัดตั้ง “กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน” ภายใน สศค. ขึ้น
เพื่อวางกรอบนโยบายและพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น พร้อมดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
การที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบมีหลายปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม
ปัจจัยโครงสร้างเศรษฐกิจและสถานการณ์ฉุกเฉิน เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชาชน เช่น การระบาดของโควิด-19 หรือวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้หลายคนต้องว่างงานหรือถูกเลิกจ้าง ทำให้รายได้ลดลง แต่ภาระค่าใช้จ่ายยังคงสูง ทำให้บางคนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกู้ยืมเงินจากแหล่งนอกระบบเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
พฤติกรรมการเงินของลูกหนี้รายบุคคล ปัญหาการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือขาดความรู้ทางการเงินที่เพียงพอ รวมถึงปัญหาหนี้การพนันหรือการกู้เงินโดยไม่วางแผน ส่งผลให้เกิดภาระหนี้สินสูงขึ้นและเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระ
ข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อจากระบบการเงินอย่างเป็นทางการ กลุ่มคนที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการกู้เงินในระบบ เช่น ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือมีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดี รวมทั้งขั้นตอนการอนุมัติสินเชื่อที่ใช้เวลานาน ทำให้ไม่ทันต่อความต้องการเงินทุนในช่วงฉุกเฉิน
ทั้งนี้สศค. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการบูรณาการที่ครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่การปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ไปจนถึงการส่งเสริมช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบอย่างเป็นธรรมและสะดวกขึ้น โดยมาตรการสำคัญที่ได้รับการผลักดัน ได้แก่
การขยายสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ หรือสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับประชาชนรายย่อยในวงเงินที่เหมาะสมและดอกเบี้ยที่เป็นธรรม มากกว่าหนี้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง 20-24%ต่อวันหรือ 200-300%ต่อปี การตั้งเงื่อนไขและมาตรฐานในการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เช่น ต้องเป็นนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ และจำกัดวงเงินสินเชื่อต่อราย เพื่อคุ้มครองผู้กู้และสร้างความมั่นใจ
การยกระดับองค์กรการเงินชุมชนสู่ “สถาบันการเงินประชาชน” ภายใต้พระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชน พ.ศ. 2562 เพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองด้านการเงินได้อย่างยั่งยืน โดยมีสถานะนิติบุคคลและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ ส่งเสริมบทบาทธนาคารชุมชนในพื้นที่ฐานราก
อย่างไรก็ตาม แม้พระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชนจะมีผลบังคับใช้มาแล้วกว่า 5 ปี แต่จำนวนองค์กรการเงินชุมชนที่ได้รับการจดทะเบียนยังน้อย เนื่องจากหลายองค์กรยังขาดความรู้ความเข้าใจในประโยชน์ของการจดทะเบียน รวมถึงข้อจำกัดทางกฎหมายและภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่
“เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว สศค. และธนาคารผู้ประสานงานทั้งธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ได้ร่วมกันจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ทั้งออนไลน์และลงพื้นที่ให้ความรู้เชิงรุกกับประชาชนและองค์กรการเงินชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจและกระตุ้นให้เกิดการจดทะเบียนอย่างแพร่หลายมากขึ้น”
นายพรชัยกล่าวว่า การผลักดันนโยบายดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนฐานรากเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้มากขึ้น แต่ยังช่วยลดภาระดอกเบี้ยและความเสี่ยงจากการพึ่งพาหนี้นอกระบบ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมความรู้และทักษะทางการเงิน ทำให้ประชาชนสามารถวางแผนและจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
การสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการเงินภาคประชาชน ยังช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือ และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคงและเข้มแข็ง
ทั้งนี้กระทรวงการคลังและ สศค. ได้เดินหน้าผลักดันมาตรการสำคัญทั้งสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และการยกระดับองค์กรการเงินชุมชน เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนฐานรากเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม ส่งเสริมความเข้มแข็งทางการเงิน และลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,098 วันที่ 22 - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2568