นโยบายการเงินภาคประชาชน กลไกสำคัญแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

21 พ.ค. 2568 | 10:31 น.
อัปเดตล่าสุด :21 พ.ค. 2568 | 10:31 น.

พิโกไฟแนนซ์-สถาบันการเงินประชาชน กลไกสำคัญนโยบายการเงินภาคประชาชน แก้หนี้นอกระบบ หนุนเข้าถึงแหล่งทุน ยกระดับคุณภาพชีวิตเศรษฐกิจฐานราก

การเงินภาคประชาชน ที่ถือเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินและคุณภาพชีวิตของประชาชน กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จึงมุ่งมั่นพัฒนาเครื่องมือทางการเงินเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบ หรือ Financial Inclusion ให้แก่ประชาชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง  

 หนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญคือ สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ซึ่งถูกออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์ประชาชนรายย่อยที่ต้องการแหล่งเงินทุนในระบบ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมและเหมาะสม สินเชื่อประเภทนี้ช่วยเป็นทางเลือกแทนการกู้ยืมเงินนอกระบบที่มักมีภาระดอกเบี้ยสูงและข้อจำกัดหลายประการ 

ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 แสดงให้เห็นว่า มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์แล้วกว่า 5 ล้านบัญชี รวมวงเงินกว่า 49,067 ล้านบาท และมีสินเชื่อคงค้างกว่า 7,054 ล้านบาท กระจายตัวอยู่ใน 75 จังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้นจังหวัดอ่างทองและสิงห์บุรี) โดยมีผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตและเปิดดำเนินการรวมกว่า 1,155 ราย

การขยายตัวของสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ในวงกว้างนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่กลายเป็นแหล่งเงินทุนทางเลือกที่เข้าถึงประชาชนได้อย่างกว้างขวาง และช่วยลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบได้ในระดับหนึ่ง

อีกกลไกสำคัญคือ สถาบันการเงินประชาชน ซึ่งเป็นองค์กรการเงินชุมชนที่ถูกยกระดับขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชน พ.ศ. 2562 ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างองค์กรการเงินที่เข้มแข็ง เป็นกลไกทางการเงินของชุมชน และส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน

สศค. ได้ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานดังกล่าวโดยการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ คณะกรรมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชน ธนาคารผู้ประสานงาน สถาบันการเงินประชาชน องค์กรการเงินชุมชน และประชาชนทั่วไป 

ผลการประเมินชี้ว่า ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า พระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชนมีความจำเป็นและเหมาะสม ช่วยให้องค์กรเหล่านี้ดำเนินงานอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐาน และมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการเงินฐานรากและแก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งทุนในชุมชน

อย่างไรก็ตาม ยังพบข้อจำกัดบางประการ เช่น ระยะเวลาในการจัดประชุมหรือการดำรงตำแหน่งของกรรมการ ซึ่ง สศค. กำลังศึกษาและเตรียมพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น 

ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 พบว่า มีสถาบันการเงินประชาชนที่ได้รับจดทะเบียนแล้ว จำนวน 25 แห่ง ครอบคลุม 16 จังหวัด สมาชิกรวมกว่า 12,441 คน มีเงินฝากรวม 373.3 ล้านบาท และยอดเงินกู้รวม 322.1 ล้านบาท แม้จำนวนสมาชิกและวงเงินจะยังไม่สูงเมื่อเทียบกับองค์กรการเงินชุมชนทั้งหมด แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีของการเริ่มต้นสร้างองค์กรการเงินชุมชนที่น่าเชื่อถือและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเหมาะสม 

เมื่อพิจารณาผลสัมฤทธิ์ของนโยบายทั้งสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และสถาบันการเงินประชาชน จะเห็นได้ว่า ทั้งสองกลไกมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนฐานรากเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในระดับชุมชน แม้จะยังมีความท้าทายและประเด็นที่ต้องพัฒนาต่อไป แต่ผลลัพธ์โดยรวมถือเป็นเชิงบวกและสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน 

โดยสรุป นโยบายการเงินภาคประชาชนไม่ใช่แค่เครื่องมือแก้ปัญหาหนี้นอกระบบเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนฐานรากมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างมั่นคงในระยะยาว

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,098 วันที่ 22 - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2568