นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจชะลอแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 และโยกเงินงบ 1.57 แสนล้านบาท ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจว่า เป็นการปรับแผนจากสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องของมาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งเวลานี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกและเศรษฐกิจไทย และอาจจะมีความไม่แน่นอน เพราะอยู่ระกว่างการเจรจายังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
ดังนั้น การที่รัฐบาลต้องปรับแผนเพื่อหางบประมาณมากระตุ้นเศรษฐกิจ และรวมถึงการเตรียมการที่จะต้องรองรับถึงมาตรการที่อาจจะได้รับผลกระทบหากเกิดกรณีที่สงครามการค้า และ Reciprocal Tariff ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าขณะนี้จีดีพีของโลกมีการปรับลดลง เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ทุกสำนักที่มีความทเกี่ยวข้องกับการคาดการณ์เศรษฐกิจมีการปรับลดจีดีพีลงค่อนข้างมาก โดยจีดีพีไตรมาส 1/68 ที่ สศช. ประกาศว่าโต 3.1% ถือว่าเกือบต่ำที่สุดในภูมิภาค ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบาง และปัญหาที่ยังมีอยู่ในระบบ เช่น หนี้ครัวเรือน อีกทั้งไทยยังเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออกจำนวนมาก
และภาคการท่องเที่ยวซึ่งสถานการณ์โดยรวมยังคงต้องจับตา เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงไปอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวจากยุโรป รวมถึงอิสราเอล อินเดียเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็กังวลว่าเป้าของนักท่องเที่ยวที่วางเป้าหมายไว้ที่ 38-39 ล้านคน อาจจะไปไม่ถึง
“ไทยมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ จึงส่งผลทำให้ทุกสำนักที่เกี่ยวข้องกับการคาดการณ์เศรษฐกิจมีการปรับลดจีดีพีลงมามาก อีกทั้งยังคงเป้าจับตาความไม่แน่นอนของการเจรจาเรื่องภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ และกำลังจะครบกำหนด 90 วันที่สหรัฐอเมริกาและจีนมีการผ่อนคลายภาษีนำเข้าระหว่างกัน ซึ่งถือว่ายังมีความเสี่ยงสูงอยู่ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องมีการปรับแผน เนื่องจากก่อนหน้านี้ที่มีการออกนโยบายเงินดิจิทัลเฟส 3 เพื่อแจกให้กับกลุ่มที่มีอายุ 16-20 ปี ยังไม่มีเรื่องการใช้มาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้“
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ในความคิดเห็นส่วนตัวเห็นด้วยกับการที่รัฐบาลมีการปรับแผนการใช้เงินงบประมาณดังกล่าวให้เกิดความเหมาะสม เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งการกระตุ้น รวมถึงการรองรับผลที่จะเกิดขึ้นกับภาคการส่งออก และการจ้างงาน เนื่องจากหากการส่งออกได้รับผลกระทบ มียอดส่งออกที่ลดลง จะส่งผลต่อกลุ่มโรงงาน การจ้างงาน ประเด็นดังกล่าวเหล่านี้ต้องมีการเตรียมงบประมาณเอาไว้รองรับ
“เงินจำนวน 1.5 แสนล้านบาทเวลานี้ถูกนำมาใช้เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม หลังจากนั้นหากในอนาคตเมื่อสถานการณ์กับเข้าสู่ภาวะปกติจะกลับมาแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 ต่อก็สามารถทำได้“
ส่วนประเด็นเรื่องจีดีพีไทยปี 68 ที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่าจะโตแค่ 1.8% นั้น จะเห็นว่าก่อนหน้านี้ที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกาศล่าสุดเมื่อต้นเดือนว่าจีดีพีไทยจะโตที่ 2.2% ภายใต้เงื่อนไขการถูกเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐเป็น 10% ตลอดทั้งปี แต่หากเมื่อครบกำหนด 90 วันการเจรจายังไม่รู้ผล
โดยครึ่งปีหลังในกรณีที่แย่ที่สุด ไทยยังถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่ 36% จะส่งผลกระทบให้การส่งออกทั้งปีติดลบ 2% และจะส่งผลกระทบไปถึงจีดีพีที่ก่อนหน้านี้คาดการณ์ไว้ที่ 2-2.5% เหลือแค่ 0.3-0.9% เรียกว่าเหลือไม่ถึง 1% ก็จะคล้ายกับสำนักอื่นที่มีการคาดการณ์
อย่างไรก็ดี การที่ สศช. คาดว่าทั้งปีจะโต 1.8% หรือกรอบล่างเหลืออยู่แค่ 1.3% นั้น ถือว่าทุกสำนักมีความใกล้เคียงกันในการคาการณ์จีดีพี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเรียนว่าปัจจุบันคงไม่มีผู้ใดที่จะสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าจีดีพีจะอยู่ที่เท่าไหร่ เป็นเพียงการคาการณ์เท่านั้น
“สิ่งสำคัญคือจะต้องดูทุกปัจจัย (Factor) เช่น การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐจะสามารถลดภาษีนำเข้าได้เหลือเท่าไหร่ และจะต้องมองเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ซึ่งหากได้ปรับลดภาษีเหลือน้อยกว่าไทย ผลกระทบของไทยก็จะรุนแรงมากขึ้น กลับกันหากไทยได้รับการลดภาษีเหลือน้อยกว่าก็จะเป็นสถานการณ์ที่ดี แต่ก็ต้องมาดูด้วยว่าระหว่างสหรัฐกับจีนเมื่อครบกำหนด 90 วันที่มีการผ่อนคลายภาษีระหว่างกันจะเป็นอย่างไร โดยเบื้องต้นทุกสำนักมองว่าปีนี้จะต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ“