วันนี้ (19 พฤษภาคม 2568) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกปี 2568 ที่ขยายตัว 3.1% เป็นผลมาจากการเร่งการนำเข้าสินค้าจากประเทศปลายทางเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการการค้าจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา แต่คงไว้ใจไม่ได้เพราะระยะข้างหน้า การค้าระหว่างประเทศจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้ารายประเทศ (Reciprocal tariff) ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป
ทั้งนี้จากการพิจารณามาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบ เพราะเศรษฐกิจไทยมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการส่งออกจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด และจะส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยโดยตรง และยังส่งผลให้มีสินค้านำส่งเข้ามาในประเทศมากขึ้น
ขณะเดียวกันแนวโน้มการลงทุนของภาคเอกชนอาจชะลอตัวลง จากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น รวมไปถึงความผันผวนที่จะเกิดขึ้นกับตลาดเงินและตลาดทุนด้วย
นายดนุชา กล่าวว่า เมื่อพิจารณารายสินค้าที่จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ครั้งนี้ สินค้าส่งออกของไทยที่จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนคือ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ส่งไปสหรัฐฯ
อีกส่วนเป็นผลกระทบจากสินค้าส่งออกที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีน เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง และเม็ดพลาสติก ขณะที่ในช่วงต่อไปจะมีสินค้าจากจีนส่งเข้ามามากขึ้น ทั้ง เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และเครื่องจักรกล ซึ่งสินค้าทั้งหมดจะต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในช่วงต่อไป
"ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาาตอบโต้ทางการค้า โดยกลุ่มสินค้าส่งออกหลักที่จำเป็นต้องรักษาสถานะผู้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในช่วงต่อไป จะมีทั้งธัญพืช ผลิตภัณฑ์ยาง และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ที่จะต้องมีมาตรการออกมาเพื่อรักษาสถานะเอาไว้ เช่นเดียวกับดูแลกลุ่มที่จะสูญเสียตลาดส่งออก ทั้ง เครื่องจักร เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์พลาสติก กลุ่มนี้จะต้องหาทางช่วยเหลือผ่านการหาตลาดใหม่ช่วยผู้ส่งออก" นายดนุชา กล่าว
นายดนุชา กล่าวว่า สศช.ได้ประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับมาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้ารายประเทศ โดยตั้งสมมุติฐานไว้หลายกรณี ในกรณีฐานหากประเทศจีน ถูกคิดภาษี 54% และภาษีตอบโต้ทางการค้าถูกคิดอัตราครึ่งหนึ่งของที่ประกาศ แต่ไม่ต่ำกว่า 10% และจีนเองมีมาตรการตอบโต้โดยคิดภาษี 34% คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลก ขยายตัวที่ 2.6% และปริมาณการค้าโลกขยายตัว 1.8%
กรณีสูงที่สุด คือ การเจรจาได้ข้อยุติที่ดี โดยภาษีตอบโต้ทางการค้าทุกประเทศถูกคิด 10% แต่จีนถูกคิด 30% และจีนได้มีมาตรการตอบโต้ทางการค้า ผ่านการคิดภาษีสหรัฐ 10% คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลก ขยายตัวที่ 2.8% และปริมาณการค้าโลกขยายตัว 2.2%
กรณีต่ำที่สุด คือ การเจรจาแล้วไม่ได้ข้อสรุป มีการคิดภาษีตามอัตราที่กำหนด โดยสหรัฐขึ้นภาษีจีน 145% และจีนตอบโต้ด้วยการคิดภาษี 146% กับสหรัฐฯ กรณีนี้คาดว่า จะทำให้เศรษฐกิจโลก ขยายตัวที่ 2.2% และปริมาณการค้าโลกขยายตัว 0.5% เท่านั้น
"จากสมมติฐานที่ประเมินไว้ จะทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 กรณีฐานปรับตัวลดลงจากประมาณการเดิม โดยคาดว่าจะขยายตัวในช่วง 1.3-2.3% หรือค่ากลาง 1.8% ส่วนในกรณีร้ายแรงที่สุด อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อยู่ที่ประมาณ 1.3% เท่านั้น ส่วนกรณีที่ดีที่สุด คาดว่า เศรษฐกิจไทยก็น่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2.3%" นายดนุชา กล่าว
อย่างไรก็ตาม สศช. ประเมินว่า ผลกระทบกับเศรษฐกิจไทย จะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น ในช่วงตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ต่อเนื่องไปยังไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 แต่ทั้งหมดก็ต้องพิจารณาการเจรจาภาษีก่อนว่าจะได้ข้อสรุปอย่างไร เบื้องต้น สศ.ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 ปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลงเล็กน้อย