เปิดแผนการคลังระยะปานกลาง รับมือความเสี่ยงโลก-ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย

17 พ.ค. 2568 | 05:13 น.
อัปเดตล่าสุด :17 พ.ค. 2568 | 06:34 น.

แผนการคลังระยะปานกลางของไทย มุ่งรับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก พร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศด้วยการบริหารงบประมาณและหนี้อย่างรัดกุม

KEY

POINTS

แผนการคลังระยะปานกลางของไทย (2568–2572) มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้วินัยการเงินการคลังที่เข้มงวด ปรับโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ เพิ่มประสิทธิภาพภาษี และจัดลำดับความสำคัญของรายจ่าย  

รัฐบาลใช้แนวทางขาดดุลงบประมาณในระยะสั้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมวางแผนค่อยๆ ลดขาดดุลสู่สมดุลในระยะยาว โดยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.5-3.5% ในปี 2568 

แผนการกู้เงินราว 7.8 แสนล้านบาทใน 4 ปี ถูกออกแบบเพื่อเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยมีแผนชำระคืนที่ชัดเจน เพื่อรักษาเสถียรภาพการคลังและความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะยาว

ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางเศรษฐกิจที่สำคัญ การบริหารการคลังไม่ใช่เพียงการจัดสรรงบประมาณรายปีหรือการจัดเก็บรายได้เพื่อให้พอใช้จ่ายเท่านั้น แต่กำลังถูกยกระดับเป็นการวาง “ยุทธศาสตร์การคลังแห่งชาติ” เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในอนาคต 

ด้วยแนวคิด “Revival” ที่รัฐบาลใช้เป็นกรอบดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลาง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการวางรากฐานสู่ความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว ภายใต้การรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด

แนวทางการปรับโครงสร้างการคลังที่วางไว้ใน “แผนการคลังระยะปานกลาง (พ.ศ. 2568–2572)” สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐในการเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บรายได้ และปรับการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยให้ความสำคัญกับ:

  • การทบทวนมาตรการลดหย่อนและยกเว้นภาษี ให้เหลือเท่าที่จำเป็น
  • การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ
  • การพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของรายจ่ายให้ชัดเจน
  • การบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้าง “กันชนทางการคลัง” (Fiscal Buffer) 

มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการสร้างวินัย แต่ยังเป็นการเพิ่มพื้นที่นโยบาย (Policy Space) ให้รัฐบาลสามารถใช้จ่ายเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภัยธรรมชาติ หรือความผันผวนของเศรษฐกิจโลก  

รัฐบาลยังคงมุ่งเน้นการจัดทำงบประมาณรายจ่ายแบบขาดดุลในระยะสั้น เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและประคับประคองการฟื้นตัว โดยมีแผนจะค่อย ๆ ปรับลดขนาดการขาดดุลให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในระยะปานกลาง และเมื่อเศรษฐกิจมีเสถียรภาพเพียงพอ จะมุ่งสู่ “งบประมาณสมดุล” ในระยะยาว 

ข้อมูลคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่า จะขยายตัวในช่วง 2.5-3.5% โดยมีแรงหนุนจากภาคส่งออก การบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ มาตรการกีดกันทางการค้า และความผันผวนของตลาดทุน 

ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.7-1.7% และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลราว 1.5% ของ GDP ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อเสถียรภาพในภาพรวม 

ด้านประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิในปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 2.887 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 3.2% ขณะที่ในช่วงปี 2569-2572 คาดว่า รายได้จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละกว่า 5% โดยในปี 2572 รายได้สุทธิจะอยู่ที่ 3.57 ล้านล้านบาท โดยรายได้เหล่านี้อิงจากสมมติฐานว่า รัฐบาลสามารถรักษาสัดส่วนรายได้ต่อ GDP ไว้ที่ประมาณ 15% และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีได้อย่างต่อเนื่อง 

นอกจากรายได้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการควบคุมรายจ่ายอย่างมีวินัย โดยมีสมมติฐานสำคัญ ได้แก่:

  • เงินอุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของรายได้สุทธิ
  • งบกลางเงินสำรองฉุกเฉิน อยู่ในช่วง 2.0–3.5%
  • การชำระหนี้เงินต้น อยู่ที่ 2.5–4.0% ของวงเงินงบประมาณ
  • ควบคุมค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ ให้เพิ่มเฉลี่ยไม่เกิน 4.0% ต่อปี

 มาตรการเหล่านี้มุ่งสร้างความยืดหยุ่นในการใช้งบประมาณ และลดความเสี่ยงจากภาระการคลังในระยะยาว 
 ขณะที่แผนความต้องการกู้เงินของรัฐในช่วงปีงบประมาณ 2568–2571 อยู่ที่ราว 781,316 ล้านบาท (ไม่รวมเงินกู้เพื่อชดเชยขาดดุล)

โดยรัฐบาลมุ่งรักษาระดับหนี้ให้อยู่ในกรอบที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการกู้เงินจะเน้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงฟื้นฟู ไม่ใช่เพื่อใช้จ่ายอย่างไร้เป้าหมาย และต้องมีแผนชำระคืนชัดเจนในอนาคต

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,097 วันที่ 18 - 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568