วันนี้ (7 พฤษภาคม 2568) ที่กระทรวงพาณิชย์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า โดยมีหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า จำนวน 42 คน เข้าร่วมประชุม โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าว่า การประชุมหัวหน้าส่วนราชการครั้งที่ผ่านมา ได้รับฟังข้อเสนอแนะที่มีประโยชน์นำไปติดตามงานได้หลายเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวแบบ Man -made destination การขยายผลการใช้ Traffy Fondue ทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นช่องทางร้องเรียนหลักของรัฐบาล ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ทุกกระทรวงไปขยายผลในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้แต่ละกระทรวงได้รับเรื่องร้องเรียนนำไปแก้ปัญหา โดยรัฐบาลจะเป็นศูนย์กลางในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในช่องทางออนไลน์และทุกช่องทาง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้เร่งรัดการดำเนินงานการใช้งบประมาณรายจ่ายด้านลงทุน ซึ่งสำนักงบประมาณ ได้รายงานตัวเลข เมื่อเดือนที่ผ่านมา ยังพบว่างบลงทุนภาครัฐในปีนี้ เบิกจ่ายไปในระบบประมาณ 5 แสนกว่าล้านบาท หรือคิดเป็น 34% ของงบลงทุนทั้งหมด ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย ขอให้ทุกหน่วยงานจริงจัง และเร่งรัดในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีที่สามารถชะลอยกเลิกรายการที่ล่าช้าไปแก้ปัญหาผลกระทบจากแผ่นดินไหวแทน นอกจากนี้ เมื่อเดือนที่ผ่านมา ได้หารือกับปลัดกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงมาตรการสวมสิทธิ์ของสินค้าในไทย และการแก้ปัญหาสินค้า และธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายในไทยแล้ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงช่องโหว่ทางกฎหมายที่เอื้อต่อการสวมสิทธิ์และการประกอบธุรกิจลักษณะนอมินี เข้มงวดการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพสินค้า การตรวจสอบโรงงาน และบริษัทที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายนอมินี การจ้างงานแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย
รวมทั้งทบทวนเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนให้มีการจ้างแรงงานไทย และการใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศรวมถึงการพัฒนาการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเชื่อมโยงกับนโยบาย One Stop Service ที่จะร่วมมือกับหลายๆ หน่วยงานเพื่อให้การบริการแก่พี่น้องประชาชนมีความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ยังขอให้กระทรวงพาณิชย์ คือ การเร่งส่งเสริมสินค้าเกษตรไทย ซึ่งปัจจุบันมีราคาที่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา และมีสินค้าล้นตลาด จึงขอให้มีความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรฯ ในการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร รวมไปถึงการสนับสนุนโครงการ Thai select ที่จะทำให้สินค้าไทยที่มีคุณภาพ ได้รับการรับรองมาตรฐาน และส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านอาหารไทยในต่างประเทศ หากมีการจัดหาวัตถุดิบจากเกษตรกรไทยที่มีคุณภาพ จะทำให้การเกษตรกรไทยมีรายได้ที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น
“ขอให้กระทรวงพาณิชย์ หามาตรการในการพยุงราคาสินค้าเกษตรไทยให้มีเสถียรภาพ ปราศจากพ่อค้าคนกลาง มีการร่วมตรวจสอบสินค้าอย่างเข้มงวดเพื่อให้ได้มาตรฐาน หาความร่วมมือกับภาคเอกชนในการรับซื้อสินค้าเกษตรที่ล้นตลาด หรือราคาต่ำ ส่วนมาตรการระยะยาว จะต้องเร่งสร้างความมั่นใจในคุณภาพในสินค้าไทย และหาตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ จึงขอความร่วมมือกับทุกท่าน หากมีข้อเสนอแนะในเรื่องนี้สามารถเสนอได้เลย เพราะเป็นปัญหาที่สำคัญ ที่จะต้องเร่งแก้ไข ตนเองพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอแนะเชิงรุก” นายกฯ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าประเด็นระหว่างประเทศ ในฐานะที่กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการค้า และการลงทุน ต้องเป็นหน่วยงานหลักในการรับมือกับผลกระทบของมาตรการการค้าสหรัฐฯ ที่ต้องทำควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมเจรจาฯ ไม่ว่าจะเป็นการหาคู่ค้าหรือตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งที่มากเกินไป รวมทั้งการใช้ประโยชน์จาก FTA ที่ไทยมีอยู่กับประเทศต่าง ๆ
ขณะเดียวกันก็ยังต้องให้ความสำคัญกับตลาดภายในประเทศ เพื่อลดความผันผวนไม่แน่นอนจากสถานการณ์ภายนอก และส่งเสริมผู้ประกอบการในการยกระดับและพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นต่อไปด้วย