โลกเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจ เงินเฟ้อแรง-แรงงานหาย กระแสแรงงานผันผวน

06 พ.ค. 2568 | 08:49 น.
อัปเดตล่าสุด :06 พ.ค. 2568 | 08:49 น.

เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ยุคใหม่ เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยพุ่ง แรงงานขาดแคลน พลังงานสะอาดกลายเป็นต้นทุน นักลงทุนทั่วโลกเร่งปรับตัวท่ามกลางความไม่แน่นอน

เมื่อการระบาดใหญ่ของโควิด-19 จบลง และโลกเริ่มก้าวออกจากภาวะชะงักงันที่ลากยาวนับปี สิ่งที่หลายคนคาดหวังคือการฟื้นตัวอย่างมั่นคงของเศรษฐกิจโลก ทว่าความจริงกลับไม่เป็นดั่งฝัน เศรษฐกิจโลกไม่ได้หวนคืนสู่ "ภาวะปกติ" แบบที่เคยรู้จัก หากแต่กำลังก้าวเข้าสู่ "ยุคใหม่" ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ และแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง

รายงานพิเศษจาก The Economist ระบุว่า เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันไม่ได้เคลื่อนตามแรงผลักแบบเดิมอีกต่อไป สิ่งที่เคยเป็นฐานคิดของนักลงทุนและผู้กำหนดนโยบาย เช่น โลกที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อต่ำ และห่วงโซ่อุปทานโลกที่ราบรื่น กำลังถูกแทนที่ด้วยบริบทใหม่ที่ยากจะคาดเดา

หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่กำลังกระทบทุกภาคส่วนคือ อัตราเงินเฟ้อที่กลับมาอย่างยืดเยื้อ ซึ่งไม่ได้มาจากความร้อนแรงของอุปสงค์ชั่วคราว แต่เกิดจากแรงกดดันฝั่งอุปทานที่ลึกและยาวนาน เช่น ราคาพลังงานและวัตถุดิบที่พุ่งสูง รวมถึงต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของ IMF ระบุว่า ประเทศพัฒนาแล้วมีเงินเฟ้อเฉลี่ยสูงถึง 6.8% ในปี 2022 และแม้จะค่อย ๆ ลดลงในปีต่อมา ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางอย่างชัดเจน

ขณะเดียวกัน นโยบายการเงินที่เคยอิงอัตราดอกเบี้ยต่ำ กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก ธนาคารกลางในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้จะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้น และบั่นทอนความสามารถในการลงทุนของภาคธุรกิจ แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

อีกหนึ่งโจทย์ที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ การขาดแคลนแรงงาน ซึ่งเกิดขึ้นในหลายประเทศพร้อมกันหลังโควิด-19 ตัวอย่างเช่น สหรัฐฯ มีจำนวนแรงงานหายไปกว่า 2 ล้านคนจากตลาดแรงงาน ขณะที่เยอรมนีและญี่ปุ่นเผชิญปัญหาคนวัยทำงานลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยนี้ทำให้ค่าจ้างแรงงานปรับตัวสูงขึ้น และกลายเป็นแรงกดดันต่อราคาสินค้าและบริการในภาพรวม

นอกจากนี้ ท่ามกลางความพยายามของโลกในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ พลังงานสะอาดที่ควรจะเป็นคำตอบกลับกลายเป็นต้นทุนที่สูงลิ่ว ทั้งด้านเงินทุนและการจัดหาทรัพยากรหายาก เช่น ลิเทียม นิกเกิล และทองแดง ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่และอุปกรณ์พลังงานหมุนเวียน ราคาของวัสดุเหล่านี้พุ่งสูงขึ้นจากทั้งอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและข้อจำกัดด้านซัพพลายเชน ทำให้การลงทุนด้านพลังงานสีเขียวไม่ง่ายและถูกเหมือนในอดีตอีกต่อไป

ไม่เพียงเท่านั้น กระแส deglobalization หรือการลดระดับโลกาภิวัตน์ ก็กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างชัดเจน หลายประเทศเริ่มกลับมาพึ่งพาการผลิตในประเทศมากขึ้น (reshoring) เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่เปราะบาง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์สงครามในยูเครนและความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และจำเป็นต้องอาศัยการวางแผนระยะยาวมากขึ้นจากภาคธุรกิจ

แม้สถานการณ์จะดูสับสนและท้าทาย แต่สำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการ การเข้าใจ "เศรษฐกิจโลกยุคใหม่" คือกุญแจสำคัญในการวางกลยุทธ์ต่อจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในธุรกิจที่มีภูมิคุ้มกันต่อเงินเฟ้อ การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทดแทนแรงงาน หรือการปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดรับกับภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ของโลก

ในวันที่โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การยอมรับความเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างมีสติ คือวิธีเดียวที่จะอยู่รอดและเติบโตในยุคแห่งความไม่แน่นอนนี้อย่างยั่งยืน