KEY
POINTS
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าอย่างรวดเร็ว โดยปรับตัวแรงกว่าหลายประเทศคู่แข่ง ขณะที่ค่าเงินของบางประเทศอ่อนค่าลงในระดับสูง ทำให้สินค้าของประเทศเหล่านั้นมีความได้เปรียบด้านราคา ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทย
โดยเฉพาะภาคส่งออก ต้องเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้น และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้าและเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า มาจากหลายส่วน ได้แก่ รายได้จากภาคส่งออกที่ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวซึ่งสร้างรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก รวมถึงการไหลเข้าของเงินทุนในตลาดตราสารหนี้และตลาดทุนไทย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนยังอยู่ในระดับที่จูงใจนักลงทุนต่างชาติ
ขณะเดียวกัน แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบสัญญาณของเงินทุนไหลเข้าจากการซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำในรูปแบบสัญญา ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายสูงกว่าการซื้อขายทองคำแท่ง และมีลักษณะเป็นการเก็งกำไรในระยะสั้น
จากข้อมูลการหารือกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานก.ล.ต. พบว่ามูลค่าการซื้อขายทองคำต่อวันอยู่ในระดับสูง และบางส่วนของเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดทองคำ อาจส่งผลต่อทิศทางค่าเงินบาทโดยตรง หากมีการแปลงเงินตราเข้ามาเก็งกำไรในประเทศ ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง เช่น การผลิตหรือการลงทุนระยะยาว ซึ่งแนวทางการแก้ที่ออกมานั้นมาถูกทางแล้ว
นอกจากนี้ประเมินว่า ค่าเงินบาทที่เหมาะสมต่อเศรษฐกิจไทยควรอยู่ในระดับประมาณ 34–35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากเงินบาทแข็งค่าหลุดระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์ อาจสร้างผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อภาคเกษตร ภาคส่งออก ภาคการท่องเที่ยว และรายได้ของผู้ประกอบการไทย ซึ่งจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม
นายธนวรรธน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การรักษาสมดุลระหว่างเสถียรภาพค่าเงินกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นโจทย์สำคัญของไทยในช่วงเวลานี้ หากสามารถบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสม จะช่วยลดแรงกระแทกจากเศรษฐกิจโลก และประคองเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง