ส.อ.ท.หนุนรัฐดันสมุนไพรสู่ระบบบริการสุขภาพ ปูทางสู่ฮับอาเซียน

06 พ.ค. 2568 | 05:49 น.
อัปเดตล่าสุด :06 พ.ค. 2568 | 05:49 น.

ส.อ.ท.สนับสนุนรัฐดันสมุนไพรสู่ระบบบริการสุขภาพ ปูทางสู่ศูนย์กลางอาเซียนรับการขาดแคลนยาในเหตุการณ์วิกฤต เผยมีโรงงานได้มาตรฐาน GMP PIC/s 56 แห่ง

นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ  ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร ในสภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท. กลุ่มสมุนไพร) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ภาครัฐสนับสนุนให้ยาสมุนไพรเข้าไปอยู่ในระบบบริการสุขภาพ เพื่อเป็นทางเลือกในการจ่ายยาสำหรับโรคพื้นฐานที่ไม่ใช่โรคร้ายแรงโดยไม่ได้ออกเป็นข้อบังคับนั้น ส.อ.ท. กลุ่มสมุนไพรมองว่าเป็นนโยบายที่มีข้อดีหลายด้าน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และด้านสาธารณะสุข 

โดยในด้านเศรษฐกิจนั้น จะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศได้ดีขึ้น ซึ่งจากข้อมูลปีงบประมาณ 2567 พบว่าการใช้ยาแผนปัจจุบันในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 70,543 ล้านบาท โดยจำนวนนี้มีมูลค่ายาสมุนไพรเพียง 1,560 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.21% และยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนำเข้าจากต่างประเทศ 90% 

ซึ่ง ส.อ.ท. กลุ่มสมุนไพรมีเป้าหมายต้องการผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้ยาสมุนไพรขึ้นไปอยู่ที่ 10% ด้วยการเข้มงวดมาตรฐานการผลิต สนับสนุนให้มีโรงงานผลิตยาสมุนไพรไทยที่ได้มาตรฐาน GMP PIC/s 

“ปัจจุบันไทยมีโรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP PIC/s จำนวน 56 แห่ง จึงสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้ยาได้ว่ายาที่นำเข้าสู่ระบบเป็นยาที่ได้มาตรฐานระดับสากล และมีปริมาณเพียงพอต่อการใช้งานประมาณมาก”

ส.อ.ท.หนุนรัฐดันสมุนไพรสู่ระบบบริการสุขภาพ ปูทางสู่ฮับอาเซียน

นอกจากนี้ การนำยาสมุนไพรไทยเข้าไปใช้ในระบบบริการสุขภาพยังเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจให้กับต่างชาติในการยอมรับยาสมุนไพรไทยมากขึ้น ทำให้ไทยมีโอกาสส่งออกยาสมุนไพรได้มากขึ้น 

และมองว่าการเริ่มต้นดังกล่าวจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ไทยสามารถก้าวเข้าสู่ศูนย์กลาง (Hub) ด้านสมุนไพรของอาเซียนได้เร็วขึ้น ส่วนข้อดีด้านสาธารณะสุขยังช่วยให้คนไทยมีทางเลือกในการเข้าถึงยาที่มีราคาถูกลง 

รวมถึงเป็นการสร้างความมั่นคงด้านยารักษาโรคให้ประเทศชาติโดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤต เช่น ที่ผ่านมาในช่วงการระบาดของโรคโควิด – 19 ประเทศไทยที่ไม่มีวัคซีนและยาของตัวเองก็ทำให้เกิดปัญหา และเหตุการณ์ที่คลองสุเอชไม่สามารถขนส่งสินค้าได้เนื่องจากมีเรือขนาดใหญ่ติดอยู่ก็ทำให้ประเทศไทยเกิดวิกฤตด้านยารักษาโรคเช่นกัน 

“การผลักดันนโยบายการใช้สมุนไพรเป็นอีกหนึ่งวิธีในการพัฒนาสมุนไพรไทย เนื่องจากหากมีการใช้อย่างแพร่หลายผู้ผลิตก็จะมีกำลังในการวิจัยและพัฒนาให้เกิดยาที่หลากหลายขึ้นจากปัจจุบันที่ยังจำกัดอยู่ที่ยารักษาโรคพื้นฐานเท่านั้น”

นายศรัณย์ แจ้วจิรา นายกสมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร กล่าวว่า ยาสมุนไพรไทยปัจจุบันมีงานวิจัยรองรับ มีกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน มีประสิทธิภาพเทียบเคียงกัน และมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ทั้งยังมีการผลิตที่ทันสมัยและมีมาตรฐานการผลิตที่ยอมรับในระดับสากล GMP PIC/s 

ส.อ.ท.หนุนรัฐดันสมุนไพรสู่ระบบบริการสุขภาพ ปูทางสู่ฮับอาเซียน

อย่างไรก็ตามการนำยาสมุนไพรเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพไม่ใช่เรื่องใหม่เนื่องจากมีการใช้ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ มาตั้งแต่ปี 2542 

มียาสมุนไพรที่ผ่านการยอมรับ เข้าสู่ยาบัญชียาหลัก ยาสมุนไพรแห่งชาติ 116 รายการ แบ่งเป็นกลุ่มอาการของโรค 15 กลุ่มอาการ และกลุ่มอาการของโรคส่วนมากก็จะเป็นกลุ่มอาการโรคพื้นฐาน เช่น แก้ไข้ แก้ไอ แก้หวัด หรือ แก้ท้องผูก ริดสีดวง แก้อาหารไม่ย่อย หรือโรคกระเพาะ และอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ กลุ่มอาการของโรคที่รุนแรง 

“หากบุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลปัจจุบันของสมุนไพรไทยเชื่อว่าจะเปิดใช้ยอมรับจะได้มีการยอมรับยาสมุนไพรมากขึ้น จะสามารถส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรได้มากขึ้นทีเดียว ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศทั้งผู้ปลูก โรงงานผลิต และผู้จัดจำหน่าย ปัจจุบันประเทศไทยส่งออกสมุนไพรอันดับ 1 ของอาเซียน แต่ในตลาดโลกยังไม่ติด 1 ใน 10 ดังนั้นหากระบบบริการสุขภาพของไทยหันมาใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกก็จะเป็นจุดที่สร้างมั่นใจให้คนในประเทศยอมรับสมุนไพรมากขึ้น และเกิดแรงส่งไปสู่ตลาดส่งออกได้”