จากกรณีมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์การประกาศให้โรงพยาบาลใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบันนั้น ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (29 เมษายน 2568) นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยประเด็นดังกล่าวพร้อมชี้แจงรายละเอียดว่า จากข้อมูลปีงบประมาณ 2567 พบว่า มูลค่าการใช้ยาแผนปัจจุบันในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐรวมทั้งสิ้น 70,543 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นยาสมุนไพร 1,560 ล้านบาท คิดเป็น 2.21%
จากข้อมูลดังกล่าว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงมีนโยบายสนับสนุนให้มีการใช้ยาสมุนไพรในระบบบริการสุขภาพ ภายใต้นโยบาย "เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทยก่อนไปหาหมอ" โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงได้ส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในสถานพยาบาลของรัฐเพิ่มมากขึ้น
สนับสนุนให้แพทย์และเภสัชกรจ่ายยาสมุนไพรเพิ่มขึ้นใน 10 กลุ่มโรคที่พบบ่อย เป็นยาสมุนไพร 32 รายการ ซึ่งอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรที่ใช้บ่อย มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
ทั้งนี้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมมือกับกรมการแพทย์ จัดทำคู่มือการใช้ยาสมุนไพรใน 10 กลุ่มโรคข้างต้น (CPG) เพื่อใช้ยาสมุนไพรอย่างถูกต้องและปลอดภัย
การส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน เป็นการดำเนินการตามความสมัครใจของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง ไม่ใช่นโยบายบังคับแต่อย่างใด โดยโรงพยาบาลแต่ละแห่งมีขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกยาสมุนไพรอย่างรอบคอบผ่านคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด (PTC) ของแต่ละโรงพยาบาล
สำหรับยาสมุนไพรที่นำมาใช้ทดแทน ได้แก่ ยาครีมไพล ใช้แทนยานวด กลุ่ม Analgesic balm สำหรับบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ยาแก้ไอมะขามป้อม หรือ ยาประสะมะแว้ง ใช้ทดแทนยาแก้ไอ M.tussis เพื่อบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ และยามะขามแขก ใช้ทดแทนยาระบาย บิซาโคดิล (Bisacodyl) สำหรับอาการท้องผูกแต่ยังมียาแผนปัจจุบันตัวอื่น สามารถเลือกใช้แทนยาแผนปัจจุบันที่ถูกคัดออกจากโรงพยาบาลได้ เช่น ยา diclofenac gel ในกลุ่มอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ยา Ambroxol หรือ Bromhexine ในกลุ่มยาแก้ไอ ละลายเสมหะ ยา lactulose หรือ Milk of Magnesia ในกลุ่มยาระบาย ซึ่งไม่กระทบต่อการรักษาผู้ป่วยของแพทย์แผนปัจจุบันที่ไม่ประสงค์ใช้ยาสมุนไพร
นอกจากนี้ มีการบูรณาการร่วมกันระหว่างแพทย์ปัจจุบันและแพทย์แผนไทย โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ดำเนินการศึกษา วิจัย ร่วมกับกรมการแพทย์ และราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทยเพื่อคัดเลือกยาสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการรักษาให้กับผู้ป่วยแต่ละกลุ่มอาการโรคเพิ่มเติมจาก 10 กลุ่มอาการเดิมในการสร้างข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้ยาสมุนไพร
"ขอเชิญชวนบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชน หันมาใช้ยาสมุนไพรเพื่อสนับสนุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ส่งเสริมการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพ และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสมุนไพรของประเทศทั้งระบบ" นพ.สมฤกษ์ กล่าวทิ้งท้าย