นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมตั้งเป้าหมายเพิ่มการจัดเก็บรายได้ขึ้นอีก 20% ในปี 2569 จากปีงบประมาณ 2568 นี้ เป้าจัดเก็บรายได้กรมอยู่ 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสามารถจัดเก็บรายได้ได้แล้วกว่า 9,800 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 90% มั่นใจว่าทั้งปีงบประมาณนี้จะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย
สำหรับเป้าหมายเพิ่มการจัดเก็บรายได้ขึ้นอีก 20% จากฐานเดิมของปีงบประมาณ 2568 นั้น จะมาจากการเพิ่มอัตราค่าเช่าที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์ที่สัญญาการเช่าจะครบกำหนด เนื่องจากที่ผ่านมามีการคิดอัตราค่าเช่าราคาเดิม และต่อสัญญาไปเรื่อยๆ ไม่เคยปรับอัตราค่าเช่า ฉะนั้น กรมจะทบทวนสัญญาเหล่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
นอกจากนี้ จะเข้าไปดูรายละเอียดที่ราชพัสดุว่างเปล่า ที่มีศักยภาพ เพื่อนำมาจัดระเบียบให้เช่าเชิงพาณิชย์เพิ่มเติม อีกทั้ง จะเข้าไปดูที่ราชพัสดุที่อยู่ในการครอบครองของส่วนราชการอื่นด้วย ซึ่งสามารถบริหารได้อีก 1 ล้านไร่ ซึ่งส่วนนี้จะมีการหารือร่วมกับส่วนราชการอื่น และนำที่ราชพัสดุมาใช้ประโยชน์ ด้วยการให้บริการเช่าเชิงพาณิชย์ และบริหารจัดการสัญญาเช่ารูปแบบ Revenue Sharing หรือส่วนแบ่งจากรายได้ร่วมกัน
“ที่ผ่านมาผ่านมา 20 ปีแล้ว แต่ไม่เคยขึ้นค่าเช่าเลยทั้งที่พื้นที่โดยรอบเจริญขึ้นมาก จึงต้องทบทวนให้ทันสมัยและเหมาะสม รวมถึงที่ว่างเปล่าแต่อยู่ในการครอบครองของข้าราชการก็จะมาทำแผนดูว่าควรพัฒนาอย่างไร หรือเปิดให้เอกชนเข้ามาทำและมีการแบ่งสัดส่วนรายได้กัน ซึ่งเบื้องต้นจะจับมือกับกระทรวงสาธารณสุข นำพื้นที่มาพัฒนาด้านสถานพยาบาล และแบ่งรายได้ซึ่งกันและกัน”
ทั้งนี้ ยังได้ประกาศยุทธศาสตร์และบทบาทใหม่ของกรมธนารักษ์ ในการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชน ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ “VALUE”
สำหรับกลยุทธ์ ‘VALUE’ ประกอบด้วย 5 เสาหลัก ดังนี้
เสาที่ 1 V : Value กลยุทธ์เพิ่มมูลค่าและคุณค่าที่ราชพัสดุโดยจัดทำ Master Plan เพื่อพัฒนาพื้นที่แบบองค์รวม เพื่อให้การจัดประโยชน์ใช้ที่ราชพัสดุเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ โดยในปี 2568 นี้ จะมีการทำพื้นที่ทดลอง Sandbox ในจังหวัดนครนายก หรือ นครนายกโมเดล เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบ
นอกจากนั้น จะมีการประสานงานกับหน่วยงานที่ครอบครอง ที่ราชพัสดุด้วยการเพิ่มมูลค่าการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เต็มศักยภาพ ทั้งนี้กรมธนารักษ์ได้ตั้งเป้าเพิ่มรายได้และอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset) ในส่วนของที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์ให้สูงขึ้น 20% ภายในปี 2569
เสาที่ 2 A : Appraise กลยุทธ์เพิ่มความแม่นยําในการประเมินราคาที่ดินด้วยการพัฒนาฐานข้อมูลการประเมินราคาให้สอดคล้องกับราคาตลาดและเป็นธรรม โดยมีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ ในการประเมินราคาที่ดินเพื่อเพิ่มความถูกต้อง ทั้งนี้ กรมฯ ตั้งเป้าที่จะลดความต่างระหว่างราคาประเมินและราคาตลาดให้เหลือไม่เกิน 15% ภายในปี 2569 นอกจากนี้ กรมฯ จะพัฒนาระบบสืบค้นราคาประเมินที่ดินออนไลน์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลราคาประเมินได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
“ส่วนต่างระหว่างราคาประเมินและราคาตลาดให้เหลือไม่เกิน 15% เป็นไปตามกฎหมาย พ.ร.บ.ราคาประเมินที่ดิน ซึ่งปัจจุบันส่วนต่างโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 30-40%ของราคาตลาด ซึ่งราคาประเมินที่ดินขึ้นอยู่กับพื้นที่แต่ละจังหวัดด้วย”
เสาที่ 3 L : Legacy กลยุทธ์เพิ่มคุณค่าทางประวัติศาสตร์ให้เหรียญกษาปณ์และพิพิธภัณฑ์ของกรมธนารักษ์ โดยจะมีการยกระดับการผลิตและจำหน่ายเหรียญกษาปณ์ให้เป็นมาตรฐานสากลและพัฒนาตลาดรองเพื่อเพิ่มมูลค่าเหรียญกษาปณ์ให้ตรงตามความต้องการของนักสะสมเหรียญ และนำแนวคิด ESG มาใช้ในกระบวนการผลิตเหรียญกษาปณ์เพื่อตอบโจทย์สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
นอกจากนี้ จะมีการบูรณาการร่วมกับชุมชนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์และอนุรักษ์วัฒนธรรม รวมถึงส่งเสริมให้พิพิธภัณฑ์ของกรมฯ สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน ยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนในพื้นที่และละแวกใกล้เคียง
เสาที่ 4 U : Unity กลยุทธ์ความเป็นหนึ่งเดียวของบุคลากร ส่งเสริมบุคลากรของกรมธนารักษ์ ให้ เก่ง ดี และมีความสุข ด้วยการเพิ่มเติมทักษะที่จำเป็นทั้งในเรื่องงาน Current Skill และ Future Skillจัดตั้งโรงเรียนธนารักษ์ออนไลน์ ส่งเสริมให้บุคลากรของกรมธนารักษ์เป็นคนดี ผ่านการนําองค์กรคุณธรรมมาใช้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ซื่อสัตย์ ตรวจสอบได้ และยังส่งเสริมบุคลากรของกรมธนารักษ์ให้มีความสุข มีการสร้างองค์กรรมนียสถานที่เอื้อต่อการทํางาน และสนับสนุนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
เสาที่ 5 E : Efficiency กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการให้บริการประชาชน ด้วยการปรับกระบวนการทํางานให้คล่องตัวแบบ Agile และการนำเทคโนโลยีดิจิทัล การวิเคราะห์ข้อมูล และเอไอ (Digital, Data, AI) มาใช้ในการทำงาน โดยในปี 2568 นี้จะมีการพัฒนา ‘น้องรักษ์’ ซึ่งเป็นระบบ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่และยกระดับการให้บริการประชาชน ให้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
“ด้วยยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ที่กรมธนารักษ์ตั้งใจจะขับเคลื่อนนี้ จะเป็นการวางรากฐานสำคัญในการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชน ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม สร้างความยั่งยืนต่อไป”