กำลังส่งสัญญาณให้เห็นถึงประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะขาดแคลนพลังงานที่เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า เมื่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) สั่งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาผลิตไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นมา เนื่องจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติตามแผนที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ต้องดึงก๊าซฯสำรองเพื่อความมั่นคงพลังงานทีมีอยู่ 6,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตออกมาใช้ และกำลังร่อยหรอลงทุกวัน หากไม่มีการนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีจากต่างประเทศเข้ามาเติม
ขณะที่การใช้น้ำดีเซลตามแผนจะต้องใช้ถึงวันละ 10 ล้านลิตรหรือในเดือนสิงหาคมนี้ต้องใช้ราว 300 ล้านลิตร เพื่อลดการใช้ก๊าซสำรอง และส่วนหนึ่งใช้น้ำมันดีเซลผลิตไฟฟ้าถูกกว่าใช้แอลเอ็นจี ประสบปัญหาจากการขาดแคลนในประเทศ เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในประเทศหยุดซ่อมบำรุง ทำให้มีน้ำมันดีเซลเหลือใช้บางส่วนเพียง 2.5 ล้านลิตรต่อวันเท่านั้น จำเป็นต้องสั่งน้ำมันดีเซลจากสิงคโปรมาเสริม
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพิงผลิตไฟฟ้า เนื่องจากที่ผ่านการผลิตก๊าซจากแหล่งเอราวัณไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ประกอบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมาสูงขึ้น และโรงไฟฟ้าถ่านหินหยุดฉุกเฉิน ทำให้ต้องใช้ก๊าซผลิตไฟฟ้าเกินกว่าแผนจัดหาถึง 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุต ต้องไปดึงก๊าซสำรองที่มีอยู่มาผลิตไฟฟ้าแทน
กกพ.เห็นปริมาณสำรองก๊าซฯเริ่มต่ำลง จึงได้สั่งให้กฟผ.ไปใช้น้ำมันดีเซลผลิตไฟฟ้าแทน สอดรับกับการสั่งการของนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ให้กระทรวงพลังงาน เร่งหาทางลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน โดยให้โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ เปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซลในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ให้มากที่สุด เพราะมีราคาที่ถูกกว่าแอลเอ็นจีแทน หรือคิดเป็นต้นทุนผลิตไฟฟ้าประมาณ 4-5 บาทต่อหน่วย เทียบกับนำเข้าแอลเอ็นจีมาผลิตไฟฟ้า 7-8 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ ในการนำน้ำมันดีเซลมาผลิตไฟฟ้า กับต้องเผชิญปัญหาว่า โรงกลั่นน้ำมันในประเทศหลายแห่งหยุดซ่อมบำรุงประจำปี ทำให้ไม่มีน้ำมันดีเซลเพียงพอ ทาง กกพ.จึงสั่งให้กลับไปใช้ก๊าซผลิตไฟฟ้า ยิ่งส่งผลต่อปริมาณสำรองก๊าซต่ำมากขึ้น ถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อระบบความมั่นคงไฟฟ้าของประเทศ
การแก้ปัญหาเวลานี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ได้มีการประชุมหารือ เพื่อแก้วิกฤตที่เกิดขึ้น ซึ่งล่าสุดทาง กกพ.จึงได้อนุมัติให้มีการนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีเพิ่มขึ้นอีก 1 หมื่นล้านลูกบาศก์ฟุต ขณะที่บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รับปากจะไปนำเข้าน้ำมันดีเซลจากสิงคโปร์ช่วงสิงหาคมนี้ราว 100 ล้านลิตร
“ในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน จะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งจัดทำแผนรับมือกับวิกฤตการขาดแคลนและราคาพลังงานที่เกิดขึ้นดังกล่าว รวมทั้งการจัดทำแผนการจัดหาเชื้อเพลิงให้เพียงพอในการผลิตไฟฟ้าช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 โดยเฉพาะการให้ ปตท.จัดทำแผนในการจัดส่งน้ำมันดีเซลให้เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิง”
แหล่งข่าวจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กฟผ. ได้ใช้น้ำมันดีเซลสำรองที่มีอยู่ 3 วัน ในแต่ละโรงไฟฟ้าไปเกือบจะหมดแล้ว และไม่มีของใหม่เข้ามาเติม เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันหยุดซ่อม อีกทั้งบริษัท โออาร์ ไม่สามารถจัดส่งน้ำมันได้ตามแผน จากความต้องการราว 300 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อกระจายให้โรงไฟฟ้าก๊าซฯของ กฟผ.และเอกชน 12 แห่ง ที่สามารถเปลี่ยนมาใช้ดีเซลได้
ส่งผลให้ กฟผ. ต้องปรับแผน และนำเสนอทางกระทรวงพลังงานไปว่าในเดือนสิงหาคมนี้จะใช้น้ำมันดีเซลผลิตไฟฟ้าได้ราว 105 ล้านลิตร ตามที่ ปตท. แจ้งมา ซึ่ง ณ วันนี้จัดส่งให้ได้ราว 2.5 ล้านลิตรต่อวัน ให้กับโรงไฟฟ้าที่ศรีราชาของบริษัท บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เท่านั้น
ดังนั้น หากน้ำมันดีเซลที่จะนำเข้ามาจากต่างประเทศอีก 100 ล้านลิตร ไม่สามารถนำมาเติมในถังสำรองให้เต็มได้อยู่ตลอดเวลา ประกอบกับก๊าซแอลเอ็นจี ที่อนุมัตินำเข้า 3.5 ลำ หรือราว 1 หมื่นล้านลูกบาศก์ฟุต ไม่สามารถ นำเข้ามาได้ก่อนวันที่ 17 สิงหาคม 2565 ปริมาณก๊าซสำรองจะถึงจุดต่ำสุด เพราะส่วนหนึ่งต้องนำมาใช้ทดแทนก๊าซจากแหล่งซอติก้า จากเมียนมา ที่เกิดอุบัติเหตุ ส่งก๊าซมาไม่ได้ราว 245 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันด้วย ซึ่งถือเป็นจุดอันตรายที่ปริมาณก๊าซจะไม่พอ และเสี่ยงต่อให้เกิดการดับไฟฟ้าบ้างพื้นที่ได้
ทั้งนี้ ทางกฟผ.ได้มีการประสานงานไปยังการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เตรียมรับมือไว้แล้ว หากการผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอ ว่าจะต้องดับไฟฟ้าในพื้นที่ใดบ้าง ซึ่งทาง กฟผ. ไม่ต้อง การให้เกิดไฟฟ้าดับ เพราะเป็นเรื่องความเสียหายของประเทศ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับว่าก๊าซแอลเอ็นจีที่สั่งนำเข้ามา และน้ำมันดีเซลที่จะนำเข้าจากสิงคโปร์ จะเข้ามาทันตามระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ
“แผนการใช้น้ำมันดีเซลในโรงไฟฟ้าก๊าซฯ 12 แห่ง ที่สามารถเปลี่ยนมาใช้ดีเซลได้นั้น แต่ละเดือนจะต้องจัดหาให้ได้อย่างต่ำ 7.5-10 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อกระจายตามโรงไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งจะช่วยผลิตไฟฟ้าต้นทุนต่ำต่อวันได้ 2,100-2,800 เมกะวัตต์ แต่หากจัดหาไม่ได้ กกพ.ก็ต้องอนุมัตินำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่มมากขึ้น และประชาชนต้องยอมรับกับค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นตามมาในภายหลัง”
แหล่งข่าวจากวงการพลังงาน ให้ความเห็นว่า ปัญหาที่ประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะขาดแคลนพลังงานนั้น เกิดจากรัฐบาล ที่ไม่กล้าตัดสินใจวางแผนการจัดหาก๊าซแอลเอ็นจีระยะยาว ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 ที่ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์การจัดหา LNG สัญญาระยะยาวของ ปตท. และเปิดโอกาสให้ Shipper สามารถจัดหาและนำเข้า LNG ทั้งในรูปแบบสัญญาระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว รวมถึงจัดหา Spot LNG ได้ เมื่อเอกชนไม่นำเข้าเนื่องจากราคาแอลเอ็นจแพง จึงส่งผลให้ปริมาณก๊าซในประเทศขาดแคลนในที่สุด
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน ได้วางแผนในการนำเข้า LNG รวมทั้งใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า และบริหารต้นทุนเพื่อให้เกิดผลกระทบกับประชาชนให้น้อยที่สุด จึงขอให้มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดไฟฟ้าดับอย่างแน่นอน และขอความร่วมมือประชาชนในการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากลดการใช้ไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศลงได้ จะช่วยลดการนำเข้าพลังงาน ส่งผลให้ต้นทุนของเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าก็ถูกลง และจะลดผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชนได้
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3807 วันที่ 7 – 10 สิงหาคม 2565