ดร.จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย โพสต์เฟซบุคส์ สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย ระบุว่า ได้สมาคมได้ลงพื้นที่ร่วมกับกรมชลประทานเพื่อดูงานการแก้ปัญหาการระบาดรุนแรงของจอกหูหนูยักษ์ ซึ่งพบระบาดหนาแน่นในอ่างเก็บน้ำห้วยไทรงาม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ พื้นที่ 550 ไร่ และ ในพื้นที่ 80 ไร่ของ อ่างเก็บน้ำห้วยมงคล ซึ่งมีเนื้อที่อยู่ในจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์
ภาพที่เห็นคือ “จอกหูหนูยักษ์” ที่ส่วนใหญ่แห้งตาย จากการใช้โดรนพ่นสารกำจัดวัชพืช 2,4-ดี และและกลูโฟซิเนต มีบางส่วนที่ยังเหลือเป็นสีเขียวเพราะไม่สัมผัสละอองสาร จึงสามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วหลังจากพ่นสารกำจัดวัชพืชได้ 2 สัปดาห์มีการใช้เรือตักขึ้นมากองไว้ที่บนฝัง เพื่อให้แน่ใจว่าแห้งตายสนิท ก่อนนำไปใช้ประโยชน์ส่วนรวม ศักยภาพในการตักเก็บของเรือ 1 ลำ คือ เที่ยวละ 8 ตัน ใช้เวลา 10 นาที หรือเฉลี่ยเก็บได้วันละ 400 ตันเท่านั้น
แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า ในพื้นที่ 550 ไร่ มีจอกหูหนูยักษ์หนักถึง 55,000 ตัน อาจจะใช้เวลาเก็บด้วยเรือโดยไม่ฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืช ต้องใช้เวลาประมาณ 5 เดือน เพราะจอกหูหนูยักษ์ 9 กิโลกรัม ตากแห้งแล้วจะเหลือน้ำหนัก 200 กรัม หรือคิดเป็น น้ำหนักแห้ง 2% ที่เหลือ 98% คือน้ำ แต่ไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลาแค่ 5 เดือนเพราะตั้งแต่เริ่มระบาดก็ใช้รถตักเก็บแบบนี้กันมาตลอด 3 ปี จนเต็มอ่างเก็บน้ำต้องใช้สาร กำจัดวัชพืช มาช่วยตัดวงจร
แต่ถ้าพ่นสารกำจัดวัชพืชให้แห้งตาย..น้ำหนักจะลดลง 50-80 เปอร์เซ็นต์ จึงสามารถช่วยลดระยะเวลาในการใช้เรือเก็บขึ้นฝั่งได้เท่าตัว ประหยัดทั้งค่าน้ำมันและค่าแรงงาน ทั้งยังช่วยป้องกันการขยายตัวของเจาะหูหนูยักษ์ได้นานกว่าการใช้เรือตักเก็บโดยไม่พ่นสาร ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้จอกหูหนูยักษ์ ขึ้นหนาแน่นมากจนคนสามารถลงไปนอนเล่นได้เลย (ตามภาพ) ล่าสุดมีสุนัขร็อตไวเลอร์ เดินลงไปเล่นพลัดตกลงไปจมน้ำตาย เพราะ ไม่สามารถตะกายขึ้นฝั่งได้ วัว ควายของชาวบ้านเดินลงไปกินน้ำก็พลัดตกลงไปในอ่างเก็บน้ำ บางตัวก็เสียชีวิต ชาวบ้านไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำได้เลย
แต่ปัจจุบันหลังจากที่เจ้าหน้าที่ จากฝ่ายวิจัยวัชพืชสำนักวิจัยและพัฒนา กรมชลประทาน นำโดยคุณธัญญลักษณ์ แต่บรรพกุล ให้ลงไปทดลองใช้สารกำจัดวัชพืชเพื่อลดการแพร่ระบาดที่รวดเร็วของจอกหูหนูยักษ์ ตั้งแต้เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ทำให้ ชาวบ้านในละแวกนั้นเริ่มกลับมาใช้ ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำได้แล้ว เพราะสามารถเปิดพื้นที่ผิวน้ำให้สัตว์น้ำได้หายใจและสัตว์เลี้ยงเช่นวัว ควายลงไปดื่มน้ำได้ ชาวบ้านลงไปจับปลาอ่างเก็บน้ำได้ตามปกติ นอกจากนั้น ยังช่วยลดการสูญเสียน้ำจากการระเหยน้ำโดยต้นจอกหูหนูยักษ์ได้อีกด้วย
เรามาทำความรู้จักวัชพืชร้ายแรงตัวนี้กันหน่อย “จอกหูหนูยักษ์”
ชื่อสามัญ : Giant Molesta หรือ Kariba weed
ชื่อวิทยาศาสตร์: Salvinia molesta D.S.Mitchel
วงศ์ : Salvinaiaceae
ถิ่นกำเนิด : ตอนใต้ของประเทศบราซิล
การแพร่กระจาย : พบระบาดทั่วไปในทุกทวีปทั่วโลก เช่น ทวีปอเมริกา ทวีปเอเซีย ทวีปแอฟริกา ทวีปออสเตรเลีย ประเทศที่เป็นหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งแต่ ปี 2473 ในประเทศไทย พบการระบาดครั้งแรก เมื่อปี 2544 มีการนำเข้าจากประเทศเปรู มาจำหน่ายเป็นไม้ประดับในตู้ปลา ที่ ตลาดนัดต้นไม้ จตุจักร กรุงเทพฯ
สถานภาพในประเทศไทย : เป็นวัชพืชกักกัน (quarantine weed) ห้ามมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบับที่ 14 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2521 แต่ที่น่าตกใจ คือมีการซื้อขายออนไลน์ใน Shopee และ Lazada เป็นไม้ประดับ และไม้น้ำในตู้เลี้ยงปลาสวยงามได้อย่างโจ๋งครึ่ม
ลักษณะเด่น: เป็นพืชประเภทเฟิร์นลอยน้ำ ต้นไม่ยึดเกาะกับดิน เพราะไม่มีรากที่แท้จริง..ด้านบนของใบ จะมีขนสีขาวคล้ายกระบอง ช่วย ทำให้ใบไม่เปียกน้ำ
“จอกหูหนูยักษ์” มีความหนาได้ถึง 1 เมตรจากระดับผิวน้ำ จึงทำให้กีดขวางการไหลของน้ำและการสัญจรทางน้ำ ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง และมีปริมาณ ก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ และไฮโดรเจนซัลไฟด์เพิ่มขึ้น ทำให้สัตว์น้ำไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ และคุณภาพน้ำไม่สามารถใช้บริโภคได้นอกจากนั้นยังมีรายงานในต่างประเทศว่า พบจอกหูหนูยักษ์ระบาดเป็นวัชพืชในนาข้าว
พื้นที่ระบาดในประเทศไทย: ในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติ ในร่องสวนมะพร้าว 10 ไร่ ในจ.สมุทรสงคราม ในเขื่อนและแม่น้ำแม่กลอง จ.กาญจนบุรี อ่างเก็บน้ำห้วยไทรงาม 550 ไร่ และอ่างเก็บน้ำห้วยมงคล 80 ไร่ ใน จ.เพชรบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ 22,000 ไร่ ในหนองหาน กุมภวาปี จ.อุดรธานี อ่างเก็บน้ำห้วยสีทน จ. กาฬสินธุ์ แหล่งน้ำใน จ.สกลนคร ขึ้นกิ่วลม จ.ลำปาง อุทยานแห่งชาติทะเลน้อย จ. พัทลุง
พื้นที่คลองหอยโข่ง จ.สงขลา และ พื้นที่ 22,000 ไร่ ในหนองหาน กุมภวาปี จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่ประเทศไทยกำลังจะใช้เป็นสถานที่จัดงานมหกรรมพืชสวนโลกในปี 2569 สภาพที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโต : อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียสและมีปริมาณไนโตรเจนในน้ำสูง สามารถเพิ่มปริมาณน้ำหนักแห้งได้ 2 เท่าในระยะเวลา 2.2 วัน และ ทุก 8 วัน พื้นที่การระบาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่ามีการประเมินว่าในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จอกหูหนูยักษ์ 1 ต้น สามารถขยายพื้นที่ระบาดได้ถึง 64,750 ไร่ ภายในเวลา 3 เดือน
การขยายพันธุ์: ส่วนใหญ่จากชิ้นส่วนลำต้นและหน่อที่แตกใหม่ มากกว่าสปอร์การป้องกันกำจัด : เดิมกรมวิชาการเกษตรแนะนำให้ใช้พาราควอต แต่ปัจจุบันสารตัวนี้ได้ถูกแบนไปแล้ว ส่วนไกลโฟเซต ถูกห้ามใช้ในพื้นที่สาธารณะหรือในแหล่งน้ำ ดังนั้น กรมชลประทานจึงทดลองใช้สาร 2,4-D และ กลูโฟซิเนต แอมโมเนียม ในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย อนุญาตให้ใช้สารหลายชนิด เช่น calcium dodecylbenzene sulphonate ใช้เฉพาะในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ Orange oil ในบ่อหรือแอ่งน้ำขนาดเล็ก ส่วน ไดควอต ใช้ได้ในแหล่งน้ำเพื่อการบริโภค และไกลโฟเซตใช้ในคลองส่งน้ำ
“ศัตรูธรรมชาติ” ด้วง Cyrtobagus salviniae ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองนำมาใช้ในอนาคตปัจจุบัน วิธีการป้องกันกำจัดที่ทั่วโลกกำลังดำเนินการกันอยู่ทุกวันนี้คือการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ซึ่งแต่เดิมค่ะแนะนำที่กรมวิชาการเกษตรเผยแพร่คือการใช้ Airport อัตรา 100-200 กรัมสารออกฤทธิ์ต่อไร่ พ่นกำจัดต่อเนื่องประมาณ 6 เดือน แต่ตอนนี้ ไม่มีพาราควอตให้ใช้แล้ว โดยทีมวัชพืชกรมชลประทาน ได้ทดลองใช้สารตัวอื่นเช่น 2,4-ดี และ กลูโฟซิเนต
หากเราไม่รีบป้องกันกำจัดเสียแต่เนิ่นๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ประเทศไทยอาจจะมีวัชพืชน้ำที่ร้ายแรงอีกชนิดหนึ่ง เหมือนผักตบชวา ที่กำจัดมาร้อยปีก็ยังไม่หมดซีกที ในต่างประเทศ มีการใช้สารไดควอต ซึ่งเป็นสารกลุ่มเดียวกับพาราควอตและออกฤทธิ์คล้ายกัน ในออสเตรเลียแนะนำให้ใช้พ่นกำจัดในแหล่งน้ำที่นำมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค สารเคมีทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษหากใช้ผิดวิธีก็เกิดอันตราย
แต่หากรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์และป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายสารนั้นก็จะกลายเป็นสารที่มีคุณค่าขึ้นมาทันที หากเรานึกถึงแต่อันตรายแต่ไม่รู้จักหาวิธีป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตรายเราคงต้องแบนสารเคมีทุกชนิดที่มีอยู่บนโลกใบนี้
ดร.จรรยา กล่าวว่า วันนี้กรมวิชาการเกษตรไม่เห็นทำอะไรเลย ทั้งที่เขียนไว้ในกฎหมายสวยหรู อยากจะถามถึง คุณระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรว่าจะทำอย่างไร แต่ถ้าไม่ทำอะไรก็ประกาศเป็น "วัชพืชประจำถิ่น" ไปเลย เพราะเนื่องจากในขณะนี้มีคนสนใจจะเอาไปทำปุ๋ยหมัก ต้องถามว่าจะว่าทำได้หรือไม่เพราะตามกฎหมายกักพืช ห้ามเคลื่อนย้ายออกนอกพื้นที่ระบาด
้