“คนละครึ่งเฟส4-บัตรคนจน” มาตรการเยียวยาสิ้นสุดโครงการวันไหนเช็คด่วน

14 เม.ย. 2565 | 01:00 น.

“คนละครึ่งเฟส4-บัตรคนจนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” โครงการเยียวยาเพิ่มกำลังซื้อหลัง ครม.อนุมัติล่าสุด สิ้นสุดโครงการวันไหนเช็ครายละเอียดด่วนที่นี่

จากกรณีที่ที่ประชุมมติคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.ได้อนุมัติโครงการ มาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 ตามที่กระทรวงการคลัง  โดย ครม.อนุมัติทั้ง 3 โครงการไปก่อนหน้านี้อัดนได้แก่

  • โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4
  • โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2
  • โครงการคนละครึ่งเฟส 4

ทั้ง 3 โครงการเป็นมาตรการเยียวยาเพิ่มกำลังซื้อจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด 19 ระลอกใหม่นั้น โดยทั้ง 3 โครงการจะสิ้นสุดการใช้จ่ายภายในวันที่ 30 เมษายน 2565

ล่าสุดนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 ทั้ง 3 โครงการ พบว่า จากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 7 เมษายน 2565 ณ เวลา 23.00 น. มีผู้ใช้สิทธิทุกโครงการรวม 40.92 ล้านราย และ มียอดใช้จ่ายรวมทั้งหมด 67,705.55 ล้านบาท โดยสรุปผลการใช้จ่ายได้ ดังนี้

  • โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 13.37 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 7,315.73 ล้านบาท
  • โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 1.29 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 634.72 ล้านบาท
  • โครงการคนละครึ่งเฟส 4  มีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3  (ประชาชนกลุ่มเดิมฯ) จำนวน 25.46 ล้านราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 57,875.2 ล้านบาท และมีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (ประชาชนกลุ่มใหม่ฯ) จำนวน 8.02 แสนราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 1,679.9 ล้านบาท รวมมีผู้ใช้สิทธิทั้งหมดจำนวน 26.26 ล้านราย และยอดการใช้จ่ายรวม 59,555.1 ล้านบาท
  • แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 30,313.15 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 29,241.95 ล้านบาท

 

 

"คนละครึ่งเฟส4-บัตรคนจนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ"

“ทั้ง 3 โครงการดังกล่าวจะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 30 เมษายน 2565 จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังมีสิทธิเหลือใช้จ่ายก่อนวันสิ้นสุดโครงการด้วย” นายพรชัย กล่าว.

 

ที่มา:กระทรวงการคลัง