แนะตั้งทีมไทยแลนด์ ดึงนักลงทุนต่างชาติ ดันไทยดีทรอยต์แห่ง EV เอเชีย

28 มี.ค. 2565 | 21:25 น.

"อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์" ชี้ไทยต้องเร่งเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้า สู่ดีทรอยต์แห่งเอเชียด้านรถยนต์ EV ให้เร็ว แนะเร่งดันตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าด่วน ชี้ไทยมีศักยภาพ และตั้งทีมไทยแลนด์ หาช่องทางดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงาน Nation Dinner Talk Thailand Future อนาคตประเทศไทย 2022 เรื่องอนาคตประเทศไทยที่อยากเห็น ว่า อยากเห็นการตั้งทีมไทยแลนด์ โดยดึงทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมมือในการรุกตลาดต่างประเทศ เพื่อดึงนักลงทุน

 

ขณะเดียวกันอยากเห็นประเทศไทยกลายเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชียในด้านรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ได้ หลังจากที่ผ่านมาไทยประสบความสำเร็จในการเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชียของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในมาแล้ว

 

"ตอนนี้จำเป็นต้องเร่งปรับตัว เพราะเรื่องของรถยนต์ EV จะมาเร็วกว่าที่คาด ดังนั้นจึงต้องเร่งตั้งเป้าเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ โดยเฉพาะการเร่งผลักดันการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ซึ่งปทต.เองแม้จะเป็นบริษัทขายน้ำมัน ก็ต้องปรับตัวในเรื่องนี้ด้วย" นายอรรถพล ยืนยัน

ทั้งนี้นอกจากอุตสาหกรรม EV แล้ว ยังอยากเห็นประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจสีเขียวของเอเชียให้ได้ ทั้งพลังงานสีเขียว หรือสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพ และสามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรของไทยหลายชนิด นอกเหนื่อจากการแปรรูป โดยต้องต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมยาให้ได้

 

ขณะเดียวกันยังอยากเห็นประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมทางการแพทย์ในระดับเอเชีย และต่อยอดไปถึงระดับโลก หรือ World Class Medical Hub รวมทั้งอยากเห็นไทยเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อน AI และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ โดยดึงผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมขับเคลื่อนด้วย

นายอรรถพล กล่าวว่า ในส่วนของ ปตท.เองนั้นก็ต้องเร่งปรับเปลี่ยนตัวเองหลายอย่าง โดยเฉพาะการปรับวิสัยทัศน์รองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในอนาคต เช่น พลังงานสะอาด พลังงานทดแทน อุตสาหกรรมเป้าหมาย การลงทุนด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

 

ล่าสุดปตท.กำลังเร่งตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2567 นี้ ส่วนการลงทุนต่าง ๆ ในช่วง 5 ปีจากนี้ กลุ่ม ปตท. ได้ตั้งงบลงทุนในเอาไว้แล้วถึง 9 แสนล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงการต่าง ๆ รองรับการเติบโตในอนาคต

 

นอกจากนี้ในด้านภาพรวมเศรษฐกิจโลกเองนั้น มองว่า ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ประเมินการเติบโตเศรษฐกิจโลกก่อนเกิดวิกฤตยูเครน-รัสเซีย โดยในปี 2565 เศรษฐกิจน่าจะโต 4.4% แต่ล่าสุดจากวิกฤตที่เกิดขึ้นทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่า จะกระทบต่อจีดีพีโลกลดลงไปอีกถึง 0.2 - 0.6%