“เอ.เจ.พลาสท์” พอใจผลเอดี ตอบโต้ทุ่มตลาดฟิล์ม BOPP จากจีน-อินโดฯ-มาเลย์

24 มี.ค. 2565 | 03:32 น.

เอ.เจ.พลาสท์ พอใจพาณิชย์เก็บภาษีทุ่มตลาดฟิล์ม BOPP 3 บริษัท จากจีน อินโดฯ มาเลย์ในอัตราไม่สูงมาก เป็นประโยชน์กับผู้ผลิต และผู้ใช้ยังมีทางเลือก ระบุส่งผลบริหารจัดการธุรกิจได้ง่ายขึ้น แจงไทยเรียกเก็บภาษีอัตราประเทศสูง เพื่อป้องกันสวมสิทธิ์ในอนาคต

 

วันที่  9 มีนาคม 2565 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าฟิล์มไบแอคซิลลิ ออเรียลเต็ดโพลิโพรพิลีน (บีโอพีพี) เกรดทั่วไป ที่มีแหล่งกําเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และประเทศมาเลเซีย พ.ศ. 2565

 

“เอ.เจ.พลาสท์” พอใจผลเอดี ตอบโต้ทุ่มตลาดฟิล์ม BOPP จากจีน-อินโดฯ-มาเลย์

 

บทสรุปสำคัญคือ ให้เรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) บริษัทจากจีน 1 บริษัทในอัตราร้อยละ 5.49 ของราคาซี ไอ เอฟ คือบริษัท Yunnan Hongta Plastic จำกัด (บจก.) ไม่เรียกเก็บภาษี หรือภาษีร้อยละ 0 สำหรับ 7 บริษัท ได้แก่ Zhongshan Wing Ning Film, Zhejiang Kinlead Group, Zhejiang Kinlead Innovative Materials, Kinwin Plastic Industrial, Zhejiang Kincess Innovative Materrials, Suzhou Kunlene Film Industry และ Suqian Gettel Plastic  ส่วนผู้ผลิตรายอื่นให้เก็บภาษีในอัตราประเมิน (Rate) ประเทศที่ร้อยละ 32.80

 

“เอ.เจ.พลาสท์” พอใจผลเอดี ตอบโต้ทุ่มตลาดฟิล์ม BOPP จากจีน-อินโดฯ-มาเลย์

 

 

ส่วนจากอินโดนีเซียให้เรียกเก็บภาษี บจก. PT Argha Karya Prima Industry Tbk อัตราร้อยละ 5.71 ของราคา ซี ไอ เอฟ, ภาษีร้อยละ 0 สำหรับ 2 บริษัท ได้แก่  PT Indopoly Swakarsa Industry และPT Trias Sentosa ส่วนผู้ผลิตรายอื่นให้เก็บภาษีอัตราประเทศที่ร้อยละ 15.32

 

 และจากมาเลเซียให้เรียกเก็บภาษี บจก. Scientex Great Wall SDN. BHD. อัตราร้อยละ 4.72 ของราคา ซี ไอ เอฟ, ภาษีร้อยละ 0 สำหรับบริษัท Stenta Films ส่วนผู้ผลิตรายอื่นเก็บภาษีอัตราประเทศที่ร้อยละ 32.84

 

นายทศพล จินันท์เดช รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ.เจ.พลาสท์ จำกัด (มหาชน) 1 ใน 3 ผู้ผลิตฟิล์ม BOPP ในประเทศ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า อัตราภาษีที่ไทยเรียกเก็บครั้งนี้ถือเป็นอัตราที่ต่ำ ไม่สูงมากนัก มองว่าเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ทั้งในแง่ของผู้ผลิตในประเทศที่ได้รับการปกป้องจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งจะส่งผลด้านจิตวิทยาทำให้ผู้ผลิตจากต่างประเทศที่มีเจตนาในการส่งสินค้าเข้ามาทุ่มตลาดในราคาต่ำ ไม่กล้าส่งสินค้าเข้ามาทุ่มตลาดมาก ผู้ผลิตไทยสามารถวางแผนการผลิตและบริหารจัดการลูกค้าได้ดีขึ้น ในแง่ผู้นำเข้าก็ยังสามารถนำเข้าได้เพราะมีผู้ผลิตหลายบริษัทจากจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซียหลายบริษัทไม่ถูกเรียกเก็บภาษี หรือภาษีเป็น 0

 

 

“เอ.เจ.พลาสท์” พอใจผลเอดี ตอบโต้ทุ่มตลาดฟิล์ม BOPP จากจีน-อินโดฯ-มาเลย์

 

“3 บริษัทจากจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่ถูกเรียกเก็บภาษีเอดี 5.49% 5.71% และ 4.72% ตามลำดับ คือบริษัทที่ส่งสินค้าเข้ามาดัมพ์ตลาดหนัก ๆ ส่วนบริษัทที่ได้เรตภาษี 0% คือดัมพ์ตลาดน้อย ส่วนรายอื่น ๆ ที่ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการส่งข้อมูลในการไต่สวน จากไม่สนใจหรือไม่มีการส่งสินค้ามาขายในไทย แต่เขาอาจส่งไปตลาดอื่น ส่วนนี้เราต้อง มีเรตประเทศไว้เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ เช่นสมมุติว่ารายที่ดัมพ์ตลาดเขาไม่ส่งออกมา แต่ไปส่งให้เจ้าอื่นที่ไม่โดนไต่สวนแล้วส่งผ่านเข้ามาขายในไทย ดังนั้นจึงต้องมีเรตประเทศไว้เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ในอนาคต”

 

ด้านแหล่งข่าวจากวงการอาหารเผยว่า กรณีที่มีผู้ประกอบการจะขอปรับราคาสินค้า โดยระบุบรรจุภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนฟิล์ม BOPP นั้น โดยข้อเท็จจริงแล้วฟิล์ม BOPP เป็นสัดส่วนต่อต้นทุนน้อยมาก เช่นบะหมี่ 1 ซองมีต้นทุน BOPP เพียง  0.081 บาท  ขณะที่ต้นทุนหลักจะมาจากข้าวสาลีที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเส้นบะหมี่ น้ำมันปาล์มที่ใช้ทอดเส้นบะหมี่ที่เวลานี้ปรับตัวสูงขึ้น

 

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3768 วันที่ 24 -26 มีนาคม 2565