"อมตะ" วางเป้ายอดขายที่ดิน 1,000 ไร่-พร้อมรับทุนต่างชาติหลังเปิด Test & Go

10 ก.พ. 2565 | 11:07 น.

อมตะ วางเป้ายอดขายที่ดินทั้งกลุ่ม 1,000 ไร่ พร้อมรับทุนต่างชาติหลังไทยเปิด Test & Go เชื่อเป็นสัญญาณบวกปี 65 แย้มนักลงทุนเริ่มทยอยเข้ามาติดต่อ เจรจา เพื่อขอศึกษาและดูพื้นที่จริง

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีมาตรการผ่อนคลายเพื่อให้เกิดการเดินทางเข้าประเทศของคนต่างชาติ ด้วยระบบ เทส แอนด์ โก (Test & GO) นับเป็นสัญญาณบวกต่อการท่องเที่ยวและการลงทุนที่จะเกิดขึ้นใน ปี 2565

 

โดยล่าสุดนักลงทุนเริ่มทยอยเข้ามาติดต่อ เจรจา เพื่อขอศึกษาและดูพื้นที่จริงหลังจากปีที่ผ่านมาไม่สามารถเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์  โลจิสติกส์ อิเล็กทรอนิกส์ เคมิคอล

 

และผู้ผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ  ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทย
 

สำหรับนิคมอุตสาหกรรมอมตะฯ มีความพร้อมรองรับการเข้ามาลงทุนและขยายการลงทุน ด้วยพื้นที่ที่มีกว่า 14,000 ไร่ แบ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรม พื้นที่พาณิชยกรรม พื้นที่ดินที่ยังรอการพัฒนา

 

โดยเป็นพื้นที่ของนิคมฯ อมตะซิตี้ชลบุรี 9,800 ไร่ และที่เหลือเป็นของนิคมฯ อมตะซิตี้ระยอง 2,400 ไร่ ซึ่งเพียงพอต่อความสนใจของนักลงทุนที่จะเข้ามา โดยปี 2565 กลุ่มอมตะได้ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินไว้ที่ 1,000 ไร่ 

 

อมตะวางเป้ายอดขายที่ดินทั้งกลุ่ม 1,000 ไร่

 

นอกจากนี้อมตะฯ ยังมีนิคมอุตสาหกรรมที่เปิดใหม่ใน สปป.ลาว หรือ อมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ (AMATA SMART & ECO CITY) ด้วยพื้นที่ 410 เฮกเตอร์ หรือจำนวน 2,562.5 ไร่

 

ซึ่งบริษัทฯ พร้อมเข้าไปพัฒนา โดยอาศัยฐานจากนักลงทุนของอมตะที่มีการลงทุนอยู่แล้ว ที่อยู่ในไทยและเวียดนามกว่า 1,400 โรงงาน 

รวมถึงนักลงทุนที่เคยประสงค์ลงทุนในเมียนมา แต่ติดปัญหาทางการเมืองไม่สามารถเข้ามาลงทุนได้ จึงใช้ลาวเป็นฐานในการขยายการผลิต เพื่อใช้ระบบโลจิสติกส์ รถไฟฟ้าความเร็วสูงลาว-จีน ซึ่งมั่นใจว่าเป็นพื้นที่มีศักยภาพอีกแห่งหนึ่งของกลุ่มในภมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้  

 

“การเปิดนิคมอมตะซิตี้ที่ประเทศลาว ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับแผนการลงทุนของอมตะ ด้วยศักยภาพของพื้นที่ถือเป็น Asset และสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับดี โดยดูจากเป้าหมายการเติบโตของประเทศ (GDP) ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4% จะทำให้ความเคลื่อนไหวการลงทุนมีมากขึ้น”