ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.สูงสุดในรอบ9เดือน

13 ม.ค. 2565 | 07:31 น.

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.สูงสุดในรอบ9เดือน อยู่ที่ 46.2 ชี้  หากรัฐคุมโอมิครอนได้ภายใน ม.ค. นี้  ไม่มีการล็อคดาวน์  ยกเลิก Test&Go ชั่วคราว คาดเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวทั้งปีมองโต 4% 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือน ธ.ค.64 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 46.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 44.9 ในเดือนพ.ย. 64  ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือนเม.ย.64 เป็นต้นมา เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มคลายความวิตกกังวลต่อสถานการณ์โควิดในประเทศไทย ที่แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน อาจมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนช่วงหลังวันหยุดยาวปีใหม่ 2565 แต่จำนวนผู้เสียชีวิตรายวันในประเทศเริ่มมีแนวโน้มลดลง

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.สูงสุดในรอบ9เดือน

 

ประกอบกับการฉีดวัคซีนในประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงการยกเลิกมาตรการเปิดประเทศภายใต้ระบบ Test&Go อาจส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นลดน้อยถดลง และระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งต้องติดตามว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในช่วงไตรมาสแรกของปี 65 จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใดส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ระดับ 40.1, ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ระดับ 42.7 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ระดับ 55.7 

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.สูงสุดในรอบ9เดือน

โดยมีปัจจัยบวกที่มีผลต่อดัชนีความเชื่อมั่น  เช่น  ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 7 มาตรการ, คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50%, กนง.ปรับคาดการณ์ตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 64 เพิ่มขึ้นเป็น 0.9% จากเดิมคาด 0.7% และยังคงคาดการณ์ GDP ปี 65 และ ปี 66 ขยายตัวต่อเนื่อง, สถานการณ์โควิด-19 ระดับโลกปรับตัวดีขึ้นจากการฉีดวัคซีนมากขึ้น รวมทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดของไทยมีแนวโน้มลดลง, การส่งออกเดือนพ.ย.64 ขยายตัว 24.73% และพืชผลทางการเกษตรหลายตัวปรับตัวดีขึ้น

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.สูงสุดในรอบ9เดือน

ขณะที่ปัจจัยลบ ได้แก่ ความกังวลต่อการแพร่ระบาดที่ยังมีทั่วประเทศ รวมทั้งไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนทำให้มีการยกเลิก Test&Go ชั่วคราว, ผู้บริโภคยังกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว และค่าครองชีพสูง, ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น, ความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมือง และ เงินบาทปรับตัวอ่อนค่า

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.สูงสุดในรอบ9เดือน

“ม.หอการค้าไทย ยังคงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2565  อยู่ที่  4% ภายใต้สถานการณ์ที่คาดว่าการระบาดของโอมิครอนจะคลี่คลายลงได้ในเดือนมกราคม 2565 นี้  และที่สำคัญต้องไม่มีการประกาศล็อกดาวน์  และจะส่งผลให้เศรษฐกิจจากนี้ดีขึ้น  และฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ในช่วงไตรมาส 2 และจะเติบโตอย่างเข้มแข็งได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 65 เป็นต้นไป”

ขณะนี้ รัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเร่งเดินหน้าโครงการ "คนละครึ่ง" อย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง  การระงับการเดินทางเข้าประเทศในระบบ Test&Go หากมีผลบังคับใช้เฉพาะช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และสามารถเปิดให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาได้ในไตรมาส 2 ก็อาจจะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะไม่กระทบภาพรวมการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้มากนัก แต่หากระงับการเดินทางแบบ Test&Go ไปตลอดทั้งปี ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ต่ำกว่า 3%

ทั้งนี้  ไม่ควรจะมีการล็อกดาวน์ ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด เพราะถ้าล็อกดาวน์บางส่วน จะเสียหายอีก 3-5 แสนล้านบาท แต่ถ้าล็อกดาวน์ทั้งหมด จะเสียหายสูงถึง 8 แสนล้าน - 1 ล้านล้านบาท และส่งผลให้เกิดการว่างงาน ปัญหา NPL และปัญหาสภาพคล่องตามมา 

อย่างไรก็ดี  ม.หอการค้าไทย ประเมินว่าในปี 65 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว 4% โดยในช่วงครึ่งปีแรก โต 2.5-3% ส่วนครึ่งปีหลัง โต 5-5.5% อัตราเงินเฟ้อทั้งปี อยู่ที่ระดับ 1.5% โดยในช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 2-2.5% และครึ่งปีหลัง อยู่ที่ 1-1.5%

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.สูงสุดในรอบ9เดือน

ด้านนางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ประจำเดือนธ.ค. 64 (TCC-CI) ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจและหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ในระหว่างวันที่ 22-30 ธ.ค.64 โดยดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 37.8 เพิ่มขึ้นจากระดับ 28.1 ในเดือนพ.ย. 64

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.สูงสุดในรอบ9เดือน

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ดัชนีฯ อยู่ที่ 37.3 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 27.4 , ภาคกลาง ดัชนีฯ อยู่ที่ 38.7 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 28.7, ภาคตะวันออก ดัชนีฯ อยู่ที่ 41.5 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 32.2, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดัชนีฯ อยู่ที่ 37.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 28.3, ภาคเหนือ ดัชนีฯ อยู่ที่ 37.2 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 27.5 และภาคใต้ ดัชนีฯ อยู่ที่ 35.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 25.9